บันเทิง

ความสำเร็จของพี่มากก่อนแตะ600ล.

ความสำเร็จของพี่มากก่อนแตะ600ล.

10 พ.ค. 2556

ความสำเร็จของพี่มากก่อนแตะ600ล. : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม

 

          การมาถึงของสตาร์เทร็ค ภาคที่ 12 ในสัปดาห์นี้ และการครองโรงอย่างเหนียวแน่นเป็นสัปดาห์ที่สองของไอรอนแมน ภาค 3 น่าจะทำให้รายได้ของ “พี่มาก พระโขนง” แผ่วลงไปเป็นลำดับ โรงหนังหลายแห่งอาจจะลดรอบและบางโรงอาจจะถอดโปรแกรมออกไปแล้ว แม้ปัจจัยทั้งมวลจะทำให้ "พี่มากฯ" ไปไม่ถึง 600 ล้านบาท ซึ่งก็คงไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของผู้สร้างสักเท่าไหร่ เพราะรายได้กว่า 550 ล้านนั้น ถือว่าเกินความคาดหมายไปไกลโข...เพราะอะไรหนังตลกเล็กๆ เรื่องนี้ ถึงได้สร้างสิ่งที่เหนือกว่าคำว่า "ปรากฏการณ์" ให้เกิดขึ้นกับวงการหนังไทยได้สำเร็จ เราลองมาเลียบๆ เคียงๆ เมียงมองถึงองค์ประกอบน้อยใหญ่ ที่ก่อร่างขึ้นมาเป็นหนังเรื่องนี้กัน
 
          สิ่งแรก คือการหยิบนำเอาตำนานที่คนไทยรู้จักกันดี ยังไม่ต้องพูดถึงการตีความใหม่ หรือมองในมุมไหนใดใดทั้งสิ้น เรื่องราวตำนานของแม่นาคพระโขนงนั้น เป็นเหมือนนิทานพื้นบ้านปรัมปราที่แทบจะฝังรากหยั่งลึก กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของชาติไปแล้ว ที่ผ่านมาเรื่องเล่าของผีแม่นาค ถูกนำเสนอผ่านงานศิลปะหลากหลายแขนง ทั้งละครร้อง, หนัง, ละครเวทีหรือแม้แต่โอเปร่า (ที่ฝรั่งมังค่าเองยังชื่นชม) เรื่องเล่าที่คุ้นเคย ตำนานที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ เมื่อหยิบนำมาเล่าสู่กันฟังครั้งใด ก็ได้อรรถรสความสนุกสนานเสมอ ทั้งอารมณ์หวาดกลัวชวนขนหัวลุกจากการออกอาละวาดตามหาคนรักของผีแม่นาค หรือความซาบซึ้งประทับใจในรักแท้ของคู่รักต่างภพ
 
          องค์ประกอบความสำเร็จอย่างที่สอง คือการนำตำนานมายั่วล้อ เล่าซ้ำด้วยลีลาใหม่ๆ แต่ยังรักษาหัวใจของเรื่องและอารมณ์ดั้งเดิมเอาไว้ แม้ตำนานแม่นาคในปี 2013 จะเปลี่ยนมุมมองไปที่พ่อมากหรือพี่มาก แต่แก่นแกนของตำนานที่ว่าด้วยความรักความผูกพันของทั้งคู่ก็ยังถูกรักษาไว้อย่างมั่นคง (แถมยังตอกย้ำแก่นของเรื่องให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยการหักมุมไปเน้นย้ำความรักของแม่นาคและพ่อมากในแบบสุขนาฏกรรม) แต่ที่ทำให้หนังไปได้ไกลและประสบความสำเร็จถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งมาจากความตลกเฮฮาของเหล่าบรรดาลูกคู่ผองเพื่อนของพี่มาก ซึ่งถูกชูให้เป็นตัวละครสำคัญของเรื่องเลยทีเดียว
 
          องค์ประกอบความสำเร็จลำดับที่สาม เกิดจากการวางแผนการตลาดมาอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ความสำเร็จของพี่มากไม่ได้เกิดจากความฟลุคหรือโชคช่วยซะทีเดียว แต่มาจากการวางแผนมาอย่างรัดกุม ดำเนินตามสเตป 1-2-3 เราจะเห็นช่วงเวลาของการโปรโมทอย่างเป็นจังหวะ ก่อนหนังเข้าฉายสามสัปดาห์มีทีเซอร์หลายๆ แบบที่พยายามบอกคาแรกเตอร์หนัง ตั้งแต่ตลก, น่ากลัว สัปดาห์ถัดมามีหนังตัวอย่างที่อธิบายภาพลักษณ์ตัวละครมากขึ้น มีมิวสิกวิดีโอเพลงหวานซึ้ง ที่ช่วยตอกย้ำว่าหนังยังไม่ทิ้งธีมความรักของพ่อมากกับแม่นาค หลังหนังออกฉายสัปดาห์แรก ก็มีการปล่อยคลิปเบื้องหลังสนุกๆ และแนะนำตัวละครสมทบแต่ละคนให้ได้รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ มีการเผยเบื้องหลังฉากสำคัญๆ และหลายๆ ฉากที่คนดูจดจำและชื่นชอบ ก่อนจะปล่อยชุดใหญ่ด้วยการให้ทีมนักแสดง โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อน 4 เกลอ ออกตระเวนเดินสายขอบคุณคนดูตามโรงหนัง ในวันที่พี่มากทำรายได้แตะ 300 ล้านบาท ซึ่งแผนการโปรโมทแบบนี้ ผลักให้หนังทำเงินต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ชะลอเมื่อผ่านหลัก  500 ล้านบาทไปแล้ว
 
          องค์ประกอบอย่างที่สี่ คือการรวบรวมเอาความสนุกทุกรูปแบบที่เคยปรากฏอยู่ในหนังไทยเมื่อครั้งอดีต กลับมาใช้อีกครั้ง ผ่านการเล่าเรื่องแบบร่วมสมัย มุกตลกจากหลายๆ สถานการณ์ในหนัง คนดูรุ่นเก่าๆ อาจจะเคยเห็นมาแล้วในหนังตลกของเหล่าผู้กำกับในตำนาน ตั้งแต่หนังของครูจรัล พรหมรังสี, หนังชุดบุญชูของคุณบัณฑิต ฤทธิ์ถกล ฯลฯ ทั้งฉากพายเรือหนีผี, ฉากสี่เกลอถูกมัดด้วยสายสิญจน์ ฉากตัวละครล้มคว่ำคะมำหงาย ริมฝีปากชนกันแนบชิด
 
          และองค์ประกอบสุดท้าย คือความคิดสร้างสรรค์อันกล้าหาญ หนังไม่แคร์ที่จะให้ตัวละครใช้ภาษาพูดปัจจุบันท่ามกลางบรรยากาศย้อนยุค การออกแบบงานสร้างที่บางครั้งไม่ได้คำนึงถึงยุคสมัยหรือความเป็นจริงมากไปกว่าโน้มนำอารมณ์ให้ได้รู้สึกร่วมตามไปด้วย (โดยเฉพาะฉากงานวัด)
 
          และสิ่งสำคัญที่ทำให้หนังมาไกลได้ขนาดนี้ เพราะหนังได้สร้าง "เทรนด์" (trend) ให้เกิดขึ้นในสังคม ทุกๆ องค์ประกอบดังที่กล่าวมาบวกรวมกับกระแสปากต่อปาก ทำให้ "พี่มาก" เป็นมากกว่าหนัง แต่กลายเป็นแฟชั่นที่คนต้องไปดู ถ้าไม่อยากตกกระแส
 
          สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปรากฏการณ์ แต่ถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าที่วงการหนังไทยต้องบันทึกไว้เลยทีเดียว
.......................................
(หมายเหตุ ความสำเร็จของพี่มากก่อนแตะ600ล. : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)