บันเทิง

มั่วดริงก์…by ฟองเบียร์:'การเมือง'

มั่วดริงก์…by ฟองเบียร์:'การเมือง'

09 พ.ค. 2556

'การเมือง' : คอลัมน์ มั่วดริงก์…by ฟองเบียร์


          กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งกับผม “ฟองเบียร์” ในคอลัมน์ มั่วดริงก์ ตรงนี้นะครับ ประเด็นที่ผมอยากจะเล่าสู่กันฟังในวันนี้คือ เรื่องเกี่ยวกับ “การเมือง” ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับสีไหนทั้งนั้น มันคือเรื่องการเมืองในวงการเพลงบ้านเรา คำคำนี้สำหรับน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งจะได้เข้ามาทำงาน จะทั้งเบื้องหน้า หรือเบื้องหลัง อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือยังไม่ค่อยได้เจอกับการเมืองเท่าไหร่นัก เพราะการเมืองในวงการเพลงนั้น ส่วนใหญ่คนทำงานหรือศิลปินมักจะโดนจับลงไปในเกมตอนเริ่มจะเป็นคนมีชื่อเสียง หรือ ช่วงที่กำลังมีผลงานโดดเด่น
 
          การอิจฉากัน การหมั่นไส้กัน ส่วนใหญ่ 2 เหตุผลนี้คือที่มาของการเมืองที่มันร้อนระอุ ตัวผมเองอยากจะเล่าเรื่องนี้มานานมากแล้ว ครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะได้เปิดค่ายเพลงที่ตัวผมเองได้เป็นคนดูแลในนาม WE RECORDS ผมเป็นเพียงนักแต่งเพลงระดับปลายแถวคนหนึ่งในตึกแกรมมี่เท่านั้น จนวันเวลาผ่านไป ผมพยายามที่จะสร้างงานให้มันโดดเด่น ให้เพลงได้ขึ้นอันดับตามสถานีวิทยุต่างๆ จนสะสมสิ่งที่ทำมาหลายๆ ปีเข้า สิ่งที่ผมเคยฝันไว้ในความพยายามก็เป็นดังฝัน ผมมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 ทั่วประเทศหลายเพลง ได้รับรางวัลจากการแต่งเพลงและการเป็น PRODUCER และสิ่งที่ตามมาก็คือชื่อเสียงในวงการ และแน่นอนเงินทองก็เริ่มมีเก็บสะสม
 
          แต่ในอีกมุมหนึ่ง…ก่อนที่แต่ละเพลงที่ขึ้นชาร์ตตามสถานีวิทยุนั้นจะถูกปล่อยออกมาให้ทุกคนได้ฟังกัน ก่อนจะได้ปล่อยเพลงเหล่านั้นออกมาขาย ก็ย่อมมีการประชุมกันเองภายในว่า เพลงที่คนนี้แต่งมาดีไหม เพลงของคนนั้นที่แต่งมาดีไหม ประชุมเพื่อเลือกเพลงที่คนหลายคนในห้องประชุมเห็นว่าดีที่สุดแล้วจึงนำเพลงนั้นออกมาปล่อยขาย ซึ่งตัวผมเองนั้นมีหลายเพลงที่ไม่ได้รับการเคาะให้เหมาะสมกับการนำมาเป็นเพลงโปรโมท บางเพลงก็ถูกเคาะว่าแต่งมาไม่รู้เรื่อง ใครจะเอาเพลงที่เขียนเนื้อมาแบบนี้ไปทำมิวสิกวิดีโอได้ว่ะ…และผมจำได้ดีว่า หนึ่งในเพลงที่ผมส่งขึ้นไปบนห้องประชุมแล้วโดนตำหนิว่าเขียนไม่รู้เรื่อง เนื้อเพลงแบบนี้ใครจะทำ MV ให้มึงได้ว่ะ คือเพลง “รักแท้ดูแลไม่ได้” ของ POTATO อัลบั้ม LIFE และในงานของวง POTATO อัลบั้มนี้อีกเช่นกันที่ผมโดนตำหนิว่าเขียนเนื้อเพลงมาไม่รู้เรื่อง แต่ตัวศิลปินเองก็ช่วยยืนยันว่าพวกเขาชอบและอินกับเพลงนี้มาก ยังไงก็ขอเอาเนื้อเพลง กับทำนองที่ผมแต่งนี้ไว้เถอะ…จนสุดท้ายผู้ใหญ่ก็ยอมให้เอาเพลงนี้ไว้ แต่ก็ขอเอาเนื้อเพลงนี้ไปแก้เอง นั่นคือเพลง “ปากดี” …แต่สุดท้ายคนนั้นคนนี้แก้ไปแก้มาก็กลับมาออกขายที่เนื้อเพลงและทำนองเดิมที่ผมแต่งตั้งแต่รอบแรก
 
          สงสัยไหมว่าอะไรทำให้ เพลง “รักแท้ดูแลไม่ได้” และเพลง “ปากดี” ผ่านที่ประชุมและได้ออกขายในท้องตลาด…ในระหว่างนั้นที่การประชุมเคาะเพลงกันในกลุ่มนักแต่งเพลงดำเนินไป เวลาก็ผ่านไปเป็นเดือนสองเดือน จนตัวผมและตัว POTATO เองก็รู้สึกอึดอัดและหนักใจในการทำงานอัลบั้ม LIFE เพราะมันหาจุดสิ้นสุดไม่เจอสักที ทั้งที่ตอนนั้นตัวผมและตัวศิลปินเองก็ต่างมีความเห็นตรงกันแล้วว่า เพลงที่เราทำๆ กันอยู่มันน่าจะขายได้ แต่ถึงขนาดมั่นใจว่ามันจะขายได้ 100% ไหมมันก็ไม่เชิง แต่ก็รู้สึกได้ว่าดีกว่าชุดที่ผ่านมาแน่นอน และที่สำคัญผมและศิลปินมีความสุขกับงานชิ้นนี้มาก จึงอยากจะรู้ว่า จริงๆ แล้วมันแย่ที่ตรงไหนกันแน่ ทำไมเพลงเหล่านี้ถึงไม่ผ่านสักที ทำไมทุกครั้งที่ส่งงานไปพี่ๆ นักแต่งเพลงคนอื่นๆ ที่มีหน้าที่ช่วยเคาะเพลงจึงตำหนิตลอด
 
          จนวันหนึ่งความพยายามและความอดทนของผมก็หมดลง ผมส่งอีเมลไปหา “อากู๋" ไพบูลย์ เพื่อบอกเล่าถึงความเหนื่อยยาก และความอึดอัดในการทำงานเพลงช่วงระยะที่ผ่านมาของผม และนั่นเองเป็นครั้งแรกที่ผมถูกเรียกตัวขึ้นไปพบคุณไพบูลย์บนห้องทำงานส่วนตัวของแกข้างบนตึก เมื่อคุณไพบูลย์ได้รับฟังผมเสร็จ แกก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้เลขาฯ แกนัดวาระประชุมแล้วขอให้ผมเอาเพลงในอัลบั้ม LIFE ของ POTATO ขึ้นมาเปิดให้แกฟังด้วยตัวเอง แล้วแกก็จะให้พี่ๆ ที่เป็นคนเคาะเพลงงานอัลบั้มนี้ขึ้นมาฟังพร้อมกันด้วย ซึ่งเวลาผ่านไปไม่กี่วันก็ได้มีการนัดวาระประชุมนี้เกิดขึ้นจริงๆ ทุกคนมาพร้อมหน้า และนั่นก็เป็นครั้งแรกของผมที่ได้นั่งโต๊ะประชุมพร้อมคุณไพบูลย์ และพี่เล็ก บุษบา…บอกได้คำเดียวว่า “โคตรเกร็ง”
 
          ผมจำภาพและบรรยากาศวันนั้นได้ดี คุณไพบูลย์นั่งหัวโต๊ะ ทางซ้ายมือแกคือพี่เล็ก บุษบา พี่อ๊อด กิตติศักดิ์ แล้วจึงเป็นที่นั่งของผม ต่อจากผมคือ ปั๊บ POTATO และพี่ฉันทนา ส่วนทางขวามือคุณไพบูลย์ คนแรกคือพี่กริช ทอมมัส ต่อมาคือพี่นิค วิเชียร และต่อจากนั้นคือทีมที่เคาะเพลง ซึ่งนั่งประจันหน้าเข้าหาผมทุกคนบนโต๊ะประชุมใหญ่ พอทุกคนมากันพร้อมหน้า และ CD กับกระดาษที่พิมพ์เนื้อเพลงถูกวางไว้ที่ตรงหน้าของทุกคนหมดแล้ว คุณไพบูลย์ก็บอกให้เริ่มการประชุมฟังงานอัลบั้มนี้ได้เลย
 
          คนที่เปิด CD แผ่นนี้ชื่อ คุณป้อน…ทันทีที่เพลงแรกถูกเปิดคือเพลง “ที่เดิม” ทุกคนนั่งเงียบและตั้งใจฟัง จนเพลงที่เดิมนั้นจบท่อนฮุครอบแรก อากู๋บอกให้ปิดก่อน…แล้วแกก็พูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย…เพลงเร็วโอเคเลยนี่หว่า ต่างจากงานชุดก่อนหน้านี้เลย พี่ชอบนะ” แล้วแกก็บอกว่าเปิดเพลงต่อไปหน่อย…ซึ่งนั่นคือเพลง “ปากดี” แกฟังไปจนจบฮุคแรกเหมือนกัน แล้วบอกว่า “เพลงนี้ดีหว่ะ พี่ว่าเพลงนี้แหละจะทำเงินได้ ทุกคนว่าไง” ทุกคนตอบว่าโอเค เพลงนี้ผ่าน..อากู๋ก็ให้เปิดเพลงที่สามคือเพลง “รักแท้ดูแลไม่ได้” ซึ่งตอนนั้นตั้งชื่อเพลงว่า “เพลงโง่” ก่อนพี่ฉันทนาจะมาตั้งชื่อเพลงให้ใหม่เป็นรักแท้ดูแลไม่ได้…อากู๋ฟังแล้วบอกว่า “เฮ้ย…เพลงดีทุกเพลงเลยนี่หว่า ทำไมไม่ปิดมาสเตอร์ไปได้แล้วว่ะ” ทุกคนก็เงียบกัน จนอากู๋บอกขอฟังอีกเพลงพอละ…เพลงที่เปิดคือเพลง “LETTER” ในระหว่างที่เปิดเพลงนี้อยู่ พี่ๆ ทีมเคาะเพลงทั้งหลายก็ดีดนิ้วตามไปด้วยเบาๆ นั่งโยกหัวไปมาเบาๆ ผมนั่งมองดูท่าทางของพี่ๆ เหล่านี้แล้วอากู๋ก็บอกปิดเพลงได้แล้วป้อน…ก่อนแกจะปิดการประชุมว่า “พี่ซื้ออัลบั้มนี้ รีบปิดมาสเตอร์ 10 เพลงมาได้แล้ว” แต่สิ่งที่ผมจำติดตา ติดหูถึงกลิ่นการเมืองเลยคือ พี่ที่เป็นทีมเคาะเพลงที่ไม่เคยให้เพลงทุกเพลงที่เปิดในวันนั้นผ่านเลยสักเพลงในระยะเวลาหลายเดือน และคอยตำหนิผมมาตลอดหลายเดือนว่ามึงแต่งเพลงไม่เป็น มึงแต่งเพลงไม่รู้เรื่อง พูดก่อนจบการประชุมต่อหน้าอากู๋หลังเพลง LETTER จบว่า “ผมว่าเบียร์เป็นคนที่แต่งเพลงดีใช้ได้เลยนะครับพี่ เพลงดีทุกเพลงเลยวันนี้” พูดจบแล้วแกก็ปรบมือเบาๆ มองหน้าผมไปด้วย..
  
          แล้วเจอกันใหม่ครับท่านผู้อ่าน
.......................................
(หมายเหตุ 'การเมือง' : คอลัมน์ มั่วดริงก์…by ฟองเบียร์)