บันเทิง

ไปดูบอลที่กรุงโรม
แต่คิดถึงหนังคลาสสิก

ไปดูบอลที่กรุงโรม แต่คิดถึงหนังคลาสสิก

05 มิ.ย. 2552

แม้โรมจะร้อน แต่ผมไม่รีบร้อนกลับบ้าน และไม่เร่งรีบที่จะเที่ยวไปในที่ต่างๆ แบบผ่านๆ มันไป การไปเที่ยวในยุโรปหรือเดินท่องไปในความงดงามทางวัฒนธรรมนั้น

 พูดแบบดัดจริตนิดหน่อย มันก็เหมือน “การดื่มไวน์” แหละครับ จะดื่มไวน์แล้วก็ควรเข้าไปแบบวัฒนธรรมของไวน์ คือค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่จ้ำพรวด หรือยกซกแบบเหล้าเบียร์

 ด้วยเหตุฉะนั้น พอหมดแมทช์บอลนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนลีก ที่ต้องปรบมือ ยืนโค้งและยอมรับความเก่งกว่าของบาร์เซโลนาแล้ว ผมจึงใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกเกือบสองวัน ตะลอนเต็มตัวเช้าตรู่ยันมืดค่ำ ไปตามที่ต่างๆ อย่างอารมณ์ดี (เพราะได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก ตัดหน้าลิเวอร์พูลไปแว้วววว)

 เท้าสองข้างพาลำตัวและหัวไปตามที่ต่างๆ หลายแห่ง แต่ระหว่างเดินทางก็พลางคิดถึงหนังหลายเรื่องซึ่งใช้ฉากหลังของโรม และเกี่ยวข้องกับโรม

 อันที่จริง โรมอาจจะไม่ได้ป๊อปปูลาร์แบบปารีสหรือลอนดอน กระทั่งนิวยอร์ก แต่ในแง่ของความคลาสสิกด้วยกาลเวลาแล้ว ไม่มีที่ไหนชนะที่นี่ได้ในส่วนของสิ่งปลูกสร้างและความหลัง

 ถ้าตอนไปพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ที่ฝรั่งเศส ผมคิดถึงหนัง the da vinci code เมื่อมาที่นครรัฐวาติกัน และยืนอยู่บนลานกว้าง ผมก็ต้องนึกถึงหนังที่เพิ่งผ่านไปอย่าง angels & demons ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเหมือน ดาวินชี (เพราะเรื่องหลังมีการทะเลาะถกเถียงรุนแรง มาช่วยการตลาดเข้าไปอีก)

 ผมไปเดินวิหารแพนทีออนด้วยครับ ด้านนอกมีร้านขายของ original ชุดนักรบโรมัน เลยซื้อหมวกเหล็กโรมันมา ตอนซื้อยังคิดถึงหนังที่ไม่ได้ชอบมาก แต่สนุกตอนได้ดูก็คือ gladiator ที่เล่าเรื่องของ “แม็กซิมัส” แม่ทัพเอกแห่งโรมัน นำกองทัพสู่ชัยชนะในสนามรบ

 พอชนะสงครามแล้ว ฝันว่าจะได้กลับบ้าน หวังเพียงได้พบกับภรรยาและลูก แต่จักรพรรดิมาร์คัส ออรีลิอุสที่กำลังจะสวรรคต ประสงค์ให้แม่ทัพทำงานอีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือการรับสืบทอดอำนาจปกครองต่อจากพระองค์ และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาถูกผู้ไม่หวังดี ฆ่าครอบครัวและตามล่าชีวิตเขา

 อย่าเพิ่งคิดว่า โรมนี่ อะไรๆ ก็สงคราม ไรก็รบกันนะครับ มีหนังน่ารักบางเรื่องเล่าเรื่องราวผ่านโรม ในมุมมองที่น่ารัก

 หนังเรื่องที่ว่าคือ la dolce vita ปี 1960 หรือ 50 ปีที่แล้ว นี่คือหนังเก่าที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับโรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มือวางอันดับหนึ่งขาเซอร์อย่าง เฟลลินี เป็นผู้กำกับ หนังเรื่องมีอยู่อย่างหนึ่ง ที่พวก “หากิน” กับนักแสดงราบันเทิง ควรจะต้องก้มกราบ เพราะเป็นที่มาของคำเรียกอาชีพอาชีพหนึ่ง ซึ่งก็มาจากเรื่องนี้
la dolce vita เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักข่าวคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงทั้งศีลธรรมและชีวิต อีตานักข่าวที่ว่าเลยหากินกับการแอบถ่ายรูปคนดังแล้วเอาไปขาย นักข่าวคนนี้มีชื่อว่า “ปาปารัสโซ” อันเป็นที่มาของคำเรียกตามสำเนียงอังกฤษ กลายเป็น “ปาปาราซซี”

 เวลามีคนแอบถ่ายรูป เราจึงเรียกพวกนี้ว่าปาปาราซซี คนธรรมดาอย่างผม ครั้งหนึ่งยังเคยถูกปาปาราซซีเลวๆ ถ่ายรูปคู่กับน้องทราย และเหมาเอาว่าเป็นแฟนใหม่ เข้าใจว่าเขาคงดูหนังเรื่อง la dolce vita มาก (ฮา)

 ระหว่างเดินเล่นที่รอบสระน้ำเทรวี่ ผมคิดว่าถ้าต้องเลือกว่า ชอบหนังเรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับโรมมากที่สุด ผมขอเลือกหนังในกลุ่มนีโอ-เรียลิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงปี 1946-1948 อย่าง the bycicle thief และ rome, open city

 เรื่อง the bycicle thief เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายจิตใจดีที่พยายามดิ้นรนท่ามกลางชีวิตฝืดเคือง แถมจักรยานก็ถูกขโมยไป จนนำไปสู่ชีวิตบัดซบ หนังเรื่องนี้คลาสสิกมาก ผู้กำกับที่ผมรักอย่างท่านมุ้ย เคยได้รับอิทธิพลเอาทำเป็นหนังชื่อ ทองพูน โคกโพ และผมได้ดูเรื่องนี้ที่โรงหนังจักรวาล เธียเตอร์ ย่านโบสถ์แม่พระฟาติมาดินแดง

 เมื่อกี้พูดถึงนักข่าว ยังมีหนังเกี่ยวกับนักข่าวในมุมที่ดีอีกเรื่อง ที่แอบไปเที่ยวกับเจ้าหญิงรอบๆ กรุงโรมอีกเรื่อง ที่เราต้องพูดถึง เพราะหนังแสนจะโรแมนติก และเป็นงานแจ้งเกิดของดาราสาวที่ดังที่สะดุดคนหนึ่งของวงการ เธอคือ ออเดรย์ เฮปเบิร์น และหนังชื่อ roman holiday

 ชื่อหนังก็คือ ช่วงเวลาอันแสนสุข ชีวิตอันแสนหวาน ของคนที่ได้หนีเที่ยวในโรม
 ผมก็มี roman holiday นะครับ และไม่ต้องหนีเที่ยว
 เพราแม้แมนฯ ยูฯ ที่รักจะพ่าย ยังมีสาวบาร์ซ่า มาเดินเป็นเพื่อนปลอบใจ (ฮิฮิ)
 ลาก่อนโรม พบกันใหม่ที่เบอร์นาบิว สเปน

"นันทขว้าง สิรสุนทร"
[email protected]