บันเทิง

มั่วดริ้งค์…by ฟองเบียร์:'ร่างทรง'

มั่วดริ้งค์…by ฟองเบียร์:'ร่างทรง'

28 มี.ค. 2556

'ร่างทรง' : คอลัมน์ มั่วดริ้งค์…by ฟองเบียร์


          ชื่อตอนที่ผมจะเล่าคือ “ร่างทรง” แต่ความหมายในที่นี้นั้นไม่ใช่การเป็นร่างทรงเพื่อเชิญวิญญาณใดๆ หรือ เทพใดๆออกมาเพื่อพูดคุยทำนายดวงชะตาเหมือนแบบตามตำหนักต่างๆ ที่คุณๆ เข้าใจกันนะครับ คำว่า “ร่างทรง” ในความหมายของผมคือ “นักแต่งเพลง”  ทำไมผมถึงใช้คำนี้กับนักแต่งเพลงน่ะเหรอครับ ก็เพราะนักแต่งเพลงคือคนที่ต้องถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของนักร้องออกมาให้ได้เสมือนราวกับว่าตัวคนแต่งเพลงและตัวนักร้องเป็นคนคนเดียวกัน พูดภาษาแบบเดียวกัน สื่อสารด้วยอารมณ์และมุมมองแบบเดียวกัน เพื่อให้เกิดความพอดีกับตัวนักร้อง หรือ เรียกว่าเพื่อให้เกิด “ภาษาที่เข้าปากนักร้อง”

          มีหลายครั้งเหลือเกินที่นักแต่งเพลงส่งเพลงกันมา เขียนกันมาดีเลยแหละ แต่พอถึงเวลาให้นักร้องเอาไปร้องกลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “มันไม่ใช่ตัวผม…มันไม่ใช่ตัวหนู…วงผมไม่พูดมุมมองแบบนี้นะครับ” อะไรทำนองนี้ ซึ่งเชื่อไหมครับว่า หลายครั้งที่นักแต่งเพลงโดนปฏิเสธงานด้วยเหตุผลแบบนี้ ทำให้ถึงขั้นนักแต่งเพลงกับศิลปินคนที่ปฏิเสธเนื้อเพลงนั้นจากคนร่วมงานกันกลายเป็นคนไม่ชอบขี้หน้ากันไปเลย และบ่อยครั้งเหมือนกันที่คนที่อยู่ตรงกลางซึ่งก็คือคนที่เป็นคนเคาะเนื้อเพลงนั้นๆ ว่ามันใช้ได้ ถูกศิลปินเกลียดขี้หน้าไปเลยก็มี ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ “ทำไมต้องหักคอบังคับให้ร้องเนื้อเพลงนี้ด้วย”

          ผมจึงมักจะทำงานแบบเป็น “ร่างทรง” ซึ่งก็คือ ขอใช้ชีวิตร่วมกับนักร้องเหล่านั้นที่ต้องทำงานด้วยแบบใกล้ชิดจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่ในร่างศิลปินเหล่านั้นเลย ต้องโทรคุยกันตลอด นัดกันไป HANG OUT ตลอด ไปค้างบ้านศิลปินบ้าง ให้ศิลปินมาค้างที่บ้านเราบ้าง เป็นคนกลางเคลียร์ปัญหาชีวิตการงาน ชีวิตรักให้ศิลปินบ้าง เป็นพ่อสื่อให้ศิลปินบ้าง รวมถึงบางทีไปช่วยพ่อแม่ศิลปินทำงานบ้างก็ยังมี ซึ่งศิลปินบางคนก็เข้าใจ บางคนก็มองว่าจะมาวุ่นวายอะไรกับชีวิตเขานักหนา บางคนก็บ่นว่าทำไมพี่สนิทกับศิลปินคนนั้นมากกว่าผม ซึ่งมันก็มีหลายเหตุการณ์ให้เจอ แต่นั่นแหละทุกสิ่งมันคือที่มาของมุมมองและความคิดในเนื้อเพลงแต่ละเพลง ของแต่ละศิลปินที่แสดงความรู้สึกดิบๆ ลึกๆ ข้างในจิตใจออกมาแบบเขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขากำลังแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ใจเย็น ใจร้อน โมโหร้าย ขี้น้อยใจ หรือ เป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยคิดอะไรกับชีวิตมากนัก

          ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อน เพราะความที่ผมจะแต่งเพลงให้ใครต้องใช้ชีวิตร่วมกันสักพักนี่แหละ มันทำให้ผมเจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน คือตัวศิลปินชายคนนึงที่เรากำลังคุยกันว่าจะทำเพลงให้คนๆนี้ แรกๆน้องคนนี้ก็ยังปกติกับผมและเรา HANG OUT กันเรื่อยๆ ไปทะเลกัน ไปค้างบ้านเขาที่ต่างจังหวัด เขามาค้างบ้านผมและค่อยๆแต่งเพลงทดลองเก็บไว้กัน จนเวลาผ่านไปไม่นาน น้องคนนี้ก็เริ่มไปติดพันสาวคนหนึ่งจากสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่ง และเวลาที่เราจะนัดทำงานกัน ปรึกษางานกันน้องคนนี้ก็จะบอกติดธุระตลอด จนไม่สามารถทำงานแบบต่อเนื่องได้ ผมเลยพยายามหาสาเหตุว่าทำไมน้องคนนี้ถึงเหลวไหลและให้เหตุผลประหลาดตลอดเวลาเพื่อจะปฏิเสธนัดที่จะมาทำงานกัน จนวันนึงผมนั่งรถเขาแล้วน้องคนนี้ก็เล่าเรื่องของสาวต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ให้ฟัง ผมก็ต่อว่าไปบนรถประมาณหนึ่งว่าอย่าให้เสียงานเพราะเอาเวลาไปให้ผู้หญิงจนหมด

          ระยะแรกหลังจากเตือนไปก็พอจะดูมีวินัยกลับคืนมาบ้าง แต่ไม่นานก็กลับมาเบี้ยวนัดทำงานกันอีกซ้ำๆ แบบเดิม จนคราวนี้ผมทนไม่ไหวเลยพูดจาตัดขาดแบบแรงๆ ไปเลยว่า “พอแล้ว พี่ไม่ขอทำงานกับคนที่ไม่มีวินัยแบบนี้แล้ว” ผมบอกตรงๆ ตอนผมพูดแบบนั้นออกไป ผมสบายใจมากที่ไม่ต้องมานั่งทำงานกับน้องคนนี้ แต่ไม่ทันไร ในวันรุ่งขึ้น น้องคนนี้ก็ทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดเลยนั่นคือ “โพสต์ข้อความลงตามเว็บต่างๆ” ด้วยข้อความว่า “ฟองเบียร์เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ต้องการกักขังผมซึ่งเป็นผู้ชายไว้ให้มาทำงานอยู่บ้านตัวเอง ผู้ชายทั้งหลายระวังตัวไว้นะครับ” และนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผมจำมาจนทุกวันนี้ในฐานะร่างทรง ว่าการทำงานหนัก ใช้เวลาเยอะๆ แล้วศิลปินไม่พร้อมให้เวลาเต็มที่กับงานมันจะเกิดการแตกหักและเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆ ทุกฝ่าย

          ในมุมกลับกันผมก็ไม่สามารถทำแบบนี้กับศิลปินหญิงได้ คือ ไม่สามารถ HANG OUT ตามต่างจังหวัด หรือ ไปค้างบ้านเขา หรือ ให้เขามาค้างบ้านเราได้ เพราะมันก็มีความไม่เหมาะสมในการเป็นเพศตรงข้ามกันอยู่ ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยแต่งเพลงให้ศิลปินหญิงบ่อยนัก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีแต่งให้บ้างเช่น ปาล์มมี่ ( เพลง กุญแจที่หายไป ) ปนัดดา ( เพลง ผิดที่เธอ OST. A Love to kill ที่ RAIN นำแสดง ) เต้น Mic Idol ( เพลง นอนไม่หลับ / เขาที่เพิ่งเจอ กับ เธอที่มาก่อน OST. หงส์สะบัดลาย ) หรือ พี่มาช่า ( เพลง ผู้ชายห่วยๆ ) ผมยอมรับจากใจเลยว่าการแต่งเพลงให้ผู้หญิงสำหรับผมนั้นมันยากมากจริงๆ ผมอาจจะมีเวลาได้คุยและทำความรู้จักกับตัวศิลปินน้อย และ ผิวเผินมากๆ แต่บางคนถ้าเจอกันในตึกแกรมมี่บ่อยๆ ก็ได้คุยกันเยอะหน่อย บ่อยหน่อย ซึ่งช่วงเวลาที่เราจะทำหน้าที่ร่างทรงในการสิงความคิดและตัวตนเขาให้ได้นั้นมันมีน้อยมาก

          และวิธีแก้ปัญหาของผมในการจะลงมือแต่งเพลงให้ศิลปินหญิงคือ มักจะดูรูปศิลปินหญิงคนนั้นไปด้วย และ เขียนเพลงไปด้วยในเวลาเดียวกัน พยายามจ้องรูปและคิดว่าคนหน้าตาแบบนี้ แววตาแบบนี้ เขาจะคิดอะไรอยู่ ถ้าเราไปจ้องเขาแบบนี้เวลาเจอตัวจริงเขาจะพูดกับเราว่ายังไงบ้าง มันดูเหมือนเป็นพวกโรคจิตนิดๆ เหมือนกันนะผมว่าวิธีของผมเนี่ย 555 แต่ผมไม่ชอบจริงๆที่จะเขียนอะไรออกมาโดยที่เราไม่ได้พยายามเข้าใจในตัวของศิลปินคนนั้นจริงๆ และสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากที่สุดเวลาแต่งเพลงแต่ละเพลงเสร็จก็คือ การที่ศิลปินคนนั้นพูดกับเราว่า เพลงที่เราแต่งไปมันคือชีวิตจริงของเขาเลย เขาอยากจะพูดอะไรแบบนี้กับใครสักคนมานานแล้ว นั่นคือสิ่งที่เป็นกำลังใจในการทำงานของร่างทรงคนนี้อย่างมากมาย

          ผมขอตอบคำถามของน้องๆ ที่เคยถามกันเข้ามาว่า “พี่เบียร์แต่งเพลงโดยการใช้ภาษาที่ศิลปินพูดในชีวิตประจำวันให้เป็นธรรมชาติได้ยังไง?” คำตอบคือ ผมไม่เคยสนใจวิธีพูดของศิลปินเหล่านั้นเลยครับ การแต่งเพลงให้ศิลปินคนนั้นๆ ร้องพอดีปากและพอดีภาษาของเขาคือ “เราต้องสิงเข้าไปในความคิดและมุมมองของเขาให้ได้” และนั่นคือที่มาของเพลงหลายๆ เพลงที่ศิลปินหลายคนบอกว่าทำไมแต่งออกมาแล้วตรงกับชีวิตของเขาเหลือเกิน  
สวัสดีครับ
.......................................
(หมายเหตุ 'ร่างทรง' : คอลัมน์  มั่วดริ้งค์…by ฟองเบียร์)