บันเทิง

เล่นหูเล่นตา:ตรุษจีน

เล่นหูเล่นตา:ตรุษจีน

11 ก.พ. 2556

ตรุษจีน : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม

          ฉันไม่รู้หรอกว่าครั้งนี้เป็นตรุษจีนครั้งที่เท่าไหร่ในชีวิต แต่ปีนี้ต้องไหว้ให้ได้ (ตอนปั่นต้นฉบับอีก 2-3 วันจะถึงวันไหว้) ฉันว่ามันเป็นประเพณีที่ลูกหลานจีนต้องสืบทอดต่อไปในฐานะ “คนจีน” นี่ถ้าพูดจีนได้จะตายตาหลับ เพราะตอนตายไปจะได้คุยกับอากง อาม่าและบรรพบุรุษรู้เรื่อง!...ปีนี้จะเป็นปีที่ฉันไม่ต้องทนกินของไหว้เจ้า ทั้งเป็ด ไก่ บ๊ะแสะ หมู 3 ชั้น ที่แม่มักจะเอาไปคั่วเกลือ ต้มพะโล้ และต้มจับฉ่าย เมนูที่จำใจกินมาตลอดชีวิต เพราะว่าคนงานที่มาทำบ้าน (กำลังรื้อบ้านซ่อมและต่อเติมทุกสิ่ง) เกือบ 20 คนจะช่วยกินของไหว้เจ้าแทนแล้ว ดี! จะบอกแม่ให้เอาใส่ถุงผูกให้คนงานทุกคนเอากลับไปกินกับครอบครัว ถ้าปีหน้าไหว้อีกจะบอกแม่ให้เรียกคนงานกลุ่มนี้มาเอาของไหว้ไปกินอีก...แม่ฉันชอบแจกจ่ายอยู่แล้ว
 
          ฉันเอาของแห้งต่างๆ ที่ซื้อมาจากระยองตอนไปงานกับอายิโนะโมะโต๊ะ (ที่ต้องพูดถึง เพราะลูกค้าคือผู้มีพระคุณ ถ้าเขาไม่จ้างฉัน ฉันจะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของเลี้ยงดูคนที่บ้านได้ล่ะ?) ฉันเอาของไปส่งให้น้องสาวที่อยู่เชียงราย วิธีส่งของของฉันก็บ้านๆ แมนน่วลทำเอง บรรจุกล่องติดแถบกาวแล้วอุ้มไปส่งที่เขารับส่งของแถวหัวลำโพง ฉันอุ้มกล่องโฟมกล่องโตจนหลังแอ่นกึ่งวางกึ่งทิ้งลงบนที่ชั่งน้ำหนักแล้วไปยืนมั่วรวมกับคนที่เขารอจ่ายตังค์ค่าส่ง เห็นป้ายเขียนด้วยลายมือหงิกๆ อ่านได้ว่า...ชั่งน้ำหนัก รอเรียกตามคิว ชำระเงิน คนที่มาทำธุระแบบฉันมีลักษณะคล้ายๆ กัน 99% เป็นผู้ชายสวมเสื้อยืด สวมแจ็กเก็ตบ้าง เหงื่อแตกๆ ท่าทางเหนื่อยๆ ตัวเปรอะๆ หนีบรองเท้าแตะดำๆ ทุกคน...ฉันก้มลงมองตีนตัวเองและตีนของพวกเขา ตีนฉันเล็กกว่าและสะอาดกว่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “เราต่างยืนอยู่บนดิน” พวกเราทุกคนล้วนติดดิน!...ฉันชอบความรู้สึกแบบนี้ แต่ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า “ทำตัวติดดิน” เพราะถ้ามันจะติดดินมันจะเป็นของมันเองโดยธรรมชาติไม่ต้อง “ทำ” หรือ “พยายาม”

          ขณะที่จ้องมองพวกเขาอยู่ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีพวกเขาก็ไม่ได้อยากจะติดดินขนาดนี้หรอกแต่ต้องติดดินด้วยความจำเป็น! ผู้ใหญ่มักสอนเสมอว่า “ต้องเรียนหนังสือเยอะๆ โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” แต่โรงเรียนมันมีให้ไม่พอกับนักเรียนหรือไม่พ่อแม่ก็ไม่มีปัญญาส่งเรียน เด็กอีกมากมายเลยต้องกลายเป็นลูกจ้างให้เขาใช้ไปตลอดชีวิต จะมีสักกี่คนที่วาสนาพาไปเจอหนทางแห่งความสำเร็จแม้จะเรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมหรือไม่มีการศึกษาเลย

          ฉันเชื่อว่า...ชีวิตคนเราแต่ละคนที่เกิดมาถูกขีดเอาไว้แล้ว เรามีหน้าที่ดิ้นรนค้นหาความหมายของชีวิตเราเอง ซึ่งบางทีเราก็ตายไปอย่างไร้ความหมาย เพราะสุดท้ายเราหาความหมายนั้นไม่เจอ ลำพังจะกินอยู่แต่ละมื้อยังแสนยากลำบาก ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงตกดินมันยาวนานกว่า 1 วันของคนปกติ ทำไมชีวิตมันถึงยากขนาดนั้นก็ไม่รู้ ฉันเลิกถามตัวเองและใครๆ แล้วว่า “ทำไมคนเราจึงต่างกัน?” ฉันตอบตัวเองแบบดื้อๆ โง่ๆ ว่า เพราะเราถูกสร้างให้เป็นแบบนั้น...จงอย่าฟูมฟายหรือมัวแต่น้อยใจ แต่จงตั้งใจทำมาหากิน แม้ชีวิตจะไม่พบกับคำว่าร่ำรวยหรือสุขสบาย แต่อย่างน้อยเราก็ไม่พาตัวเองไปอดตาย! เมื่อเราเข้าใจและยอมรับมันได้ เราอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน นั่นแหละความสุข บางทีความสุขมันก็อยู่กับเราตอนที่เราไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่รวย แต่มีชีวิตรอดไปวันๆ นั่นแหละ!
 
          เสร็จจากส่งของก็ขับรถไปบ้านแม่ ช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขก็ตอนเจอคนในครอบครัวกับหมา 2 ตัว ได้เดินเล่นบนพื้นดินชื้นๆ หญ้าเขียวๆ ที่ขึ้นกะหรอมกะแหรมเพราะหมาแม่-ลูก เกี๋ยมอี๋ กับหมี มันไปฉี่ใส่จนตายเป็นหย่อมๆ แหงนหน้ามองต้นโมกรอมันออกดอก ต้นกล้วยที่มีหน่ออ่อนๆ แตกขึ้นมา มะละกอลูกดก มะม่วงที่ยังไม่ออกผลในปีนี้ ขนุนหลังบ้านที่ออกลูกเล็กๆ ดกเต็มต้น สักพักมันจะร่วงจนเหลือไม่กี่ลูก ฟังดูยังกับมีที่สักไร่ เปล่าเลยที่เล็กๆ แมวยังไม่ทันดิ้นตายเลย ต้นไม้แต่ละต้นห่างกัน 2-3 ก้าว แค่นี้ฉันก็มีความสุขอย่างน่าเกลียดแล้วแหละ...ฉันชอบบ้านน้องชายมากกว่าบ้านแม่ที่กำลังซ่อม เพราะที่นั่นไม่ค่อยมีไม้ผล ส่วนใหญ่เป็นไม้ดอก...
 
          “แม้...ช่วงนี้ทำอะไรให้คนงานกิน”
 
          ทั้งแม่ พี่สาว และน้องสะใภ้ มักจะชอบทำของกินเลี้ยงคนงานก่อสร้าง จนต้องถามไถ่กันบ่อยๆ บางทีแม่ก็ตำน้ำพริกต้มผัก บางทีได้มะม่วงน้ำดอกไม้มาเป็นตะกร้าก็จะทำข้าวเหนียวมะม่วงแจกคนงานกินกันจนอิ่มแปร้ ล่าสุดก็เพิ่งทำข้าวมันไก่ แม่กับพี่สาวฉันว่าสงสารคนพวกนี้ เวลาที่เรากินของดีๆ เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันให้คนด้อยกว่า เพราะเราต่างก็เป็นคนเหมือนกัน ควรมีเมตตามีน้ำใจให้กัน แม่จึงลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่ไม่หยุดหย่อน

          พี่สาวฉันเล่าว่า...ลุงแก่อายุ 60 กว่า แกมาฉาบปูนให้ แกบอกกับพี่สาวฉันว่า “ถ้าผมทำบ้านเสร็จแล้วขอกินเป็ดย่างหน่อยนะคุณนก” พี่สาวฉันไม่รอให้บ้านเสร็จ เพราะคงรออีกเดือนกว่า วันพรุ่งก็เลยซื้อเป็ดย่างเอ็มเคมาฝากแกให้ได้กินกับคนงานอื่นๆ มีคนงานผู้หญิงอยู่คนเดียวในนั้น นางกินร่วมกันกับคนอื่นแล้วเก็บเอากล่องกับฝาพลาสติกกลับบ้านไปอวดสามี ซึ่งก็เคยทำงานที่นี่ แต่ช่วงนี้ป่วยเลยหยุดงาน สามีนางบอกว่า น่าอิจฉาได้กินเป็ดย่าง พี่สาวฉันฟังเรื่องที่นางเอากลับมาเล่าเลยให้เงินไป 300 ซื้อเป็ดย่างสักครึ่งตัวไปฝากสามีที่ป่วย (เป็นโรคเชื้อราในสมองจากการทำงานก่อสร้าง หมอบอกว่าจะอยู่ไม่นาน) นางดีใจมากมาย

          คนงานก่อสร้างส่วนใหญ่มักจะไม่แข็งแรง เพราะต้องดมฝุ่นปูน ฝุ่นไม้ ทินเนอร์ แล็กเกอร์ และสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในการก่อสร้าง เครื่องป้องกันต่างๆ ก็ไม่มี ดีที่สุดที่หาได้คงเป็นผ้าปิดปากที่คนเป็นหวัดเขาใส่กัน จะไปกันอะไรได้! ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนทนได้ บางคนทนไม่ได้ก็ป่วยและเสียชีวิตกันไป ตอนที่รับสารเคมีต่างๆ เข้าร่างกาย พวกเขาก็จะปวดเมื่อย มึนหัว แล้วก็คิดเอาเองว่ากินเหล้าคงช่วยบรรเทา ก็เลยฟาดเหล้าขาวทุกวัน นี่ก็ยิ่งเร่งวันเร่งคืน แต่มันคือวิถีชีวิตของพวกเขา ฉันฟังแล้วรู้สึกหดหู่ สิ่งที่ทำได้คือ ให้พวกเขาได้มีโอกาสกินของอร่อยๆ ที่อยากกิน...ตรุษจีนครั้งนี้พวกเขาคงดีใจที่จะได้กินหมูเห็ดเป็ดไก่กันอย่างล้นปากล้นคอ เพราะยี่ห้อ “เจ๊ณี” แม่ฉันแล้วทำน้อยๆ เป็นที่ไหน แม่จะทำเหมือนจะเลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้าน...ครั้งนี้เต็มที่เลยนะแม่! เพราะพวกเราจะได้ไม่ต้องทนกินของไหว้กันไปอีกเป็นอาทิตย์ ม้วนเดียวจบ ไหว้จบก็แจกให้หมดเลยนะแม่
 
          “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ขอให้ร่ำๆ รวยๆ” คงเป็นคำอวยพรที่ห่างไกลจากผู้คนที่ใช้แรงงานซึ่งอยู่ตรงหน้าฉัน แค่ให้ได้อิ่มไปวันๆ แค่นั้นก็คงจะมากจนเกินไปที่จะขอ...เออหนอชีวิต!
.......................................
(หมายเหตุ ตรุษจีน : คอลัมน์ เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)