Prometheusชั้นเชิงของคนทำหนังรุ่นเก๋า | คมชัดลึก

          ผมเป็นแฟนหนังของคุณแอย่างเหนียวแน่นครับ รู้จักครั้งแรกผ่านหนังเรื่อง “Alien” ตามด้วยหนังล้ำๆ อย่าง “Blade Runner” ก่อนจะตอกย้ำความเป็นแฟนเดนตายจากหนัง Feminist เรื่องดัง “Thelma&Louise” จากนั้นมาก็ไม่เคยพลาดหนังแกทุกเรื่อง
 
          คุณปู่สก็อตต์ ถือว่าเป็นผู้กำกับที่ถนัดทำหนังฟอร์มใหญ่ยักษ์ ทว่าภายใต้ความใหญ่โตอลังการงานสร้าง คุณปู่ก็เก่งกาจสามารถเอาเรื่องได้อยู่หมัดอยู่มือ คุมโทนจับทิศทางหนังได้อย่างมั่นคงไม่หลงทาง แม้จะโดนคำครหาค่อนขอดว่าทำหนังไม่ได้เรื่องอยู่บ้างจากหนังภาคต่ออย่าง “Hannibal” หนังมหากาพย์สงครามครูเสดเรื่อง “The Kingdom of Heaven”รวมถึงหนังจอมโจรขวัญใจคนยาก “Robin Hood” แต่นอกเหนือจากนั้นคุณภาพในหนังแทบทุกเรื่องของริดลีย์ สกอตต์ ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องทั้งอรรถรสความสนุก เนื้อหาสาระที่ดูง่าย
 
          ขณะเดียวกันก็แฝงประเด็นแง่คิดที่ลุ่มลึก คมคาย ชวนแก่การตีความคิดต่อของคอหนังแต่ละคน ที่สำคัญงานสร้างแต่ละเรื่องก็สร้างความตื่นตา ประหลาดใจ สรรค์สร้างเทคนิคใหม่ๆ ให้กับวงการและคนดูได้ทุกครั้งไป ตั้งแต่หนังระดับมหากาพย์อย่าง “Gladiator” “Black Hawk Down” “1492: Conquest of Paradise” ไปจนถึงหนังเล็กๆ อย่าง “Black Rain”และ “Someone to Watch Over Me” หรือแม้แต่ “The Duellist” หนังเรื่องแรกของสก็อตต์ ที่ไปคว้ารางวัลเมืองคานส์เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน
 
          ปกติ ‘สกอตต์’ ไม่ค่อยทำหนังภาคต่อ แม้หนังของเขาจะประสบความสำเร็จแค่ไหนก็ตาม (ยกเว้น “Hannibal” ที่เป็นภาคต่อของ “The Silence of the Lambs” ของผู้กำกับโจนาธาน เด็มมี่ ที่ ‘สกอตต์’ โดนด่ายับ จนอาจจะเข็ดจากการทำหนังภาคต่อของคนอื่น) แต่กรณีของ “Prometheus” อาจเป็นข้อยกเว้น หรือมองได้ในหลายมุม ทั้งในฐานะภาคต่อที่ย้อนกลับไปเล่าที่มาของภาคแรกในลักษณะหนัง Prequel หรืออาจเป็นหนังอีกเรื่องโดยไม่ได้ข้องเกี่ยวกันแม้แต่น้อย ถ้าหากจะให้มองในมุมที่คล้ายคลึงกันก็แค่การพูดถึงมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันหากแต่ก็เป็นมุมมองที่แตกต่างและผ่านกระบวนการตีความที่ลุ่มลึก ซับซ้อน ชวนให้คิดได้มากกว่าAlien ภาคแรก
 
          “Prometheus” เล่าถึงโลกอนาคตปี ค.ศ. 2089 เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งออกตามหาผู้สร้างที่เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา หลังพบหลักฐานโบราณหลายอย่างบนโลกที่ชวนให้เชื่อว่า ‘ผู้สร้าง’ หรือ ‘Engineer’ เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ หลังค้นพบแผนสู่ดวงดาวที่เชื่อกันว่า ‘ผู้สร้าง’ อาศัยอยู่ นักวิทยาศาสตร์ก็พากันออกเดินทางด้วยยานอวกาศชื่อ‘โพรมีธีอุส’ มุ่งหน้าตรงไปยังดาว LV-223 เพื่อตามหา’ ผู้สร้าง’ หรือ ‘บรรพบุรุษ’ ของพวกเขา โดยใช้เวลานานถึง 4 ปี ซึ่งระหว่างเดินทางนักวิทยาศาสตร์แต่ละคนต่างก็ตกอยู่ในภาวะ‘จำศีล’ หลับใหลอยู่ในแคปซูล เพื่อรอเวลา ‘ตื่น’ มาทำภารกิจหลังเดินทางมาถึงดาวเคราะห์ LV-223 ภายใต้การดูแลความเรียบร้อยภายในยานของหุ่นยนต์แอนดรอยด์ที่ชื่อ ‘เดวิด’จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี 2093 ‘โพรมีธีอุส’ ก็เดินทางถึงดาวดวงที่ว่า แต่เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์ออกสำรวจบนพื้นผิวดาว พวกเขาก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด ทั้งสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น และสิ่งที่ ‘ผู้สร้าง’ กระทำต่อพวกเขา
 
          มองอย่างผิวเผิน หนังอาจกำลังท้าทายความเชื่อต่อศาสนาที่บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ แต่หนังก็ตั้งข้อสังเกต หรืออาจจะเป็นคำถามไว้ว่า ในเมื่อ‘ผู้สร้าง’ให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นมาแล้ว เหตุใดจึงมีความตั้งใจจะ‘ทำลาย’ลงเสีย หรือสุดท้ายความตั้งใจที่ว่านั้น‘ผิดพลาด’หรือไม่ก็อาจ‘เปลี่ยนใจ’ หรือสุดท้าย ‘ผู้สร้าง’ เองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายถูกคุกคาม จนต้องถอยร่นหนีหายไปหลายพันปีจนมนุษย์ต้องออกตามหา พร้อมกับค้นพบเรื่องประหลาดที่น่าหวาดกลัวในเวลาต่อมา
 
          “Prometheus” เป็นได้ทั้งหนังภาคก่อนของ“Alien” และอาจจะมีภาคต่อที่บอกเล่าเรื่องราวไปอีกคนละทิศละทางจากหนังตระกูล ‘Alien’ แต่ไม่ว่าหนังของ ‘สก็อตต์’ จะหลุดโลกอย่างไร หรือท้าทายความเชื่อทางศาสนาหรือไม่ อย่างน้อยตัวละครในหนังของเขาก็ยังมีศรัทธาต่อศาสนา ทั้งอลิซาเบท ชอว์ นักวิทยาศาสตร์สาวใน “Prometheus” ที่ห้อยไม้กางเขนติดตัวตลอดเวลาแม้ใครจะถอดออกไปแค่ในเวลาสั้นๆ เธอก็ไม่ยอม และถ้าย้อนกลับไป 33 ปีแล้ว เอลเลน ริปลีย์ ลูกเรือหญิงแกร่งเพียงหนึ่งเดียว ก็สู้อุตส่าห์รักษาชีวิตน้อยๆ ในท้องของเธอ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันคือสัตว์ประหลาดต่างดาวก็ตาม “Prometheus”ไม่ได้ท้าทายความเชื่อทางศาสตร์หรือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ใดใด แต่เป็นน่าจะเป็นหนังที่วิพากษ์ความทะเยอทะยานของมนุษย์เสียมากกว่า
.......................................
(หมายเหตุ Prometheus ชั้นเชิงของคนทำหนังรุ่นเก๋า : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)