
โลกเปลี่ยนไปดนตรีไทยก็เปลี่ยนแปลง15
โลกเปลี่ยนไปดนตรีไทยก็เปลี่ยนแปลง15 : คอลัมน์ โบกใลนี้ดนตรีไทย โดย... ขุนอิน
ประมาณปีพ.ศ. 2510 กว่าๆ ในยุคนั้นวิทยาลัยนาฏศิลปซึ่งสังกัดกรมศิลปากรนั้นยังมีแค่ส่วนกลางก็คือยังไม่มีวิทยาลัยนาฏศิลปะส่วนภูมิภาคในจังหวัดต่างๆ เหมือนกับปัจจุบันนี้ ในช่วงนั้นก็จะมีครูฝ่ายดนตรีไทยท่านหนึ่งที่เปรียบเป็นบอสใหญ่และนักเรียนดนตรีไทยที่วิทยาลัยนาฏศิลปส่วนกลางในยุคนั้นก็จะหายใจหายคอเป็นท่านก็คือให้ความเคารพท่านดังเทพเจ้า ท่านคืออาจารย์ประสิทธิ์ ถาวร ยุคก่อนนั้นจะนิยมเรียกท่านว่าครูประสิทธิ์ กันมากกว่าและในยุคที่ท่านยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าสายดนตรีไทยนั้นวิทยาลัยนาฏศิลปซึ่งตอนนั้นน่าจะใช้ชื่อว่าโรงเรียนนาฏศิลปจะมีนักเรียนดนตรีไทยโดยเฉพาะนักปี่พาทย์แล้วนั้นล้วนแต่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์มากมายราวกับว่าเป็นพยัคฆ์ร้ายแดนปี่พาทย์ ยังไงยังงั้นเลยครับ
และเมื่อระหว่างปีพ.ศ. 2510 ถึง ประมาณปีพ.ศ. 2515 นั้นลูกศิษย์ของอาจารย์ประสิทธิ์ ถาวร ก็เริ่มจบจากโรงเรียนนาฏศิลปไปทีละรุ่น และก็เริ่มที่จะทยอยออกไปทำงานในหน่วยงานต่างๆ ซึ่งเหล่าบรรดาพยัคฆ์ร้ายปี่พาทย์ส่วนใหญ่นั้นบรรดาหัวกะทิจะไปรับราชการอยู่ที่แผนกดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรที่เหลือก็จะอยู่เป็นครูอาจารย์สอนต่อที่โรงเรียนหรือวิทยานาฏศิลปนั่นเองแหละครับ ซึ่งเหล่านักเรียนปี่พาทย์ของวิทยาลัยที่ฝีมือจัดจ้านและไปกระจุกรวมกันอยู่ที่กรมศิลปากรในรุ่นนั้นก็จะมี อาจารย์นิกร จันทศร ครูกมล ปลื้มปรีชา ครูปี๊บ คงลายทอง และครูไพทูรย์ เฉยเจริญ ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นนักดนตรีปี่พาทย์ที่เก่งกาจมากที่สุดในยุคนั้นและเดินตบเท้าเข้ามาอยู่ในสังกัดกรมศิลปากร ส่วนที่เหลืออยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลปอย่างพี่น้องตระกูลโสวัตร อาจารย์บุญช่วย กับอาจารย์ลำยอง ซึ่งรายแรกเป็นครูสอนปี่จะว่ากันจริงๆ แล้วผมเองก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เป่าปี่ในที่คล่องแคล่วแต่ชัดเจนได้เท่ากับท่านนี้ส่วนท่านหลังก็คืออาจารย์ลำยอง คนนี้ไม่อยากจะอธิบายอะไรมากเพราะเนื่องจากท่านเป็นครูที่สอนผมและต่อเพลงระบำอะไรต่างๆ ให้ผมตอนสมัยที่เป็นนักเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลปนั่นเองแหละครับ และก็ยังมีอีกหลายท่านในยุคของครูประสิทธิ์ ถาวรที่จบมาจากวิทยาลัยนาฏศิลปแล้วมาอยู่ที่กรมศิลปกับวิทยาลัยนาฏศิลปที่มีฝีมือเยี่ยมยอด
ยุคพ.ศ. 2510 กว่านั้นแผนกดุริยางค์ไทยของกรมศิลปากรกับวิทยาลัยนาฏศิลปนอกจากจะมีรั้วติดกันแล้วนั้นนักดนตรีและครูดนตรีส่วนใหญ่ก็จะมาจากที่เดียวกันก็คือวิทยาลัยนาฏศิลปะ ส่วนกลางดังนั้นทางเพลงและความสัมพันธ์ดังเพื่อนพ้องน้องพี่จะมีกันอย่างแนบแน่นและจะเดินไปมาหาสู่กันตลอดนั้นจะมีคุณภาพและรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเองยิ่งโดยเฉพาะเพลงระบำรำฟ้อนต่างๆ เรียกว่าถ้านอกจากเพลงในพิธีการต่างๆ แล้วกรมศิลปากรจะไม่มีการตีเพลงที่มาจากนอกกรมโดยเด็ดขาดประกอบกับฝีมือนักดนตรีที่มีคุณภาพที่เขาเรียกว่า "ลูกหม้อ" ก็คือที่มาจากวิทยาลัยนาฏศิลปผสมกับพวกที่มาจากข้างนอกก็คือต้องเก่งจริงๆ อย่างครูสุรเดช กิ่มเปี่ยมนั้นเป็นที่ยอมรับจากพวกชาวบ้านที่อยู่นอกกรมเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาในปีพ.ศ. 2517 วงการปี่พาทย์ก็จุตินักระนาดบ้านนอกผู้หนึ่งนามว่าสมนึก ศรประพันธ์ วัยเพียง 23 ปี เข้ามาปราบระนาดเอกมีดีๆ ในเมืองหลวงอย่างราบคาบไปหลายราย แล้วก็ประกาศชัยชนะขั้นเด็ดขาดด้วยการชนะเลิศการประกวดปี่พาทย์ของสมาคมสงเคราะห์สหายศิลปินที่วัดพระพิเรนทร์ ที่มีมือดีๆ ชั้นครูรวม 4 วงเข้าร่วมประกวดกันในปีนั้น และผลก็ทำให้ชื่อเสียงของพี่ป๋องหรือสมนึก สอนประพันธ์ ที่กล่าวกันว่าเป็นมือระนาดที่ตีได้สะอาดสะอ้านตีได้โดยไม่ผิดลูกแม้แต่ครั้งเดียวนั้นดังกระฉ่อนไปทั่ววงการปี่พาทย์ทั่วทุกสารทิศจนกระทั่งถูกดึงตัวไปอยู่ที่กองดุริยางค์ทหารบกในภายหลัง
อีกหนึ่งปีถัดมาจากนั้นก็คือ พ.ศ .2518 มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่สมาคมสงเคราะห์สหายศิลปินวัดพระพิเรนทร์ในที่เดิมพี่สมนึก ศรประพันธ์ต้องพบกับความปราชัยอย่างไม่มีใครคาดคิดให้กับครูกมล ปลื้มปรีชา นักระนาดเอกกรมศิลปากรหรือพี่เขียวของเพื่อนๆ ผมในวิทยาลัยที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ในตอนนั้นผมยังอยู่ในวัย 12 ปีจึงพอที่จะจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นควันหลงได้ซึ่งบางคนบอกว่าพี่เขียวสมควรที่จะได้รับชัยชนะแล้วเพราะตีได้ไหวหนักแน่นกว่าแต่บางคนก็บอกว่าพี่ป๋องนั้นตีไหวและสะอาดกว่าตอนท้ายก็พุ่งกว่า มันก็ว่ากันไปแล้วแต่พวกใครพวกมันนั่นแหละครับแต่พอมาในระยะ 10 ปีให้หลังผมได้ฟังเทปที่ทั้งสองท่านได้ประชันกันในปี 2518 นั้น หลายคนที่เคยวิจารณ์ว่าพี่ป๋องหรือพี่นึกนั้นตีไหวกว่าน่าจะได้รับชัยชนะนั้นผมว่ามันก็ไม่ใช่แล้วล่ะครับ เพราะที่ผมฟังมานั้นความไหวมันก็สูสีกันมากแถมทางฝั่งพี่เขียวนั้นก็ตีได้สะอาดสะอ้านไม่แพ้กันและดูว่าจะได้ลูกหนักแน่นกว่าก็สมควรที่จะชนะแต่ก็สูสีกันสุดประมาณจริงๆ ครับ
ชัยชนะของพี่เขียวที่ได้มานั้นผมคิดว่าผู้ที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็คือครูประสิทธิ์ ถาวรที่เปรียบเป็นครูและผู้ฝึกสอนที่แนะแนวทางทุกอย่างให้จนพี่เขียวระนาดหนุ่มจากกรมศิลปากรได้รับชัยชนะ แถมลูกวงทั้งหมอก็คือลูกศิษย์ของท่านที่จบจากวิทยาลัยนาฎศิลปทั้งอยู่ที่กรมศิลปและครูอาจารย์จากวิทยาลัยนาฏศิลปมาผสมผสานกันโดยเฉพาะอาจารย์บุญช่วย โสวัตร มือปี่แต่ผันตัวมาตีระนาดทุ้มก็ยังได้รับชัยชนะอีกเหมือนกันเรียกว่ารุ่นพี่วิทยาลัยนาฏศิลปของผมมันจะเก่งอะไรปานนั้นแต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเก่งจริงแหละครับ
ชัยชนะของพี่เขียวกมล ปลื้มปรีชา นั้นมันเป็นการกระทำเพียงครั้งเดียวแต่มันก็มีผลกระทบในแง่ลบต่อกรมศิลปากรในยุคนั้นอยู่พอสมควร แต่จะเป็นอย่างไรอีก 2 สัปดาห์ค่อยมาว่ากันใหม่ครับ สวัสดีนะครับ
.......................................
(หมายเหตุ โลกเปลี่ยนไปดนตรีไทยก็เปลี่ยนแปลง15 : คอลัมน์ โบกใลนี้ดนตรีไทย โดย... ขุนอิน)