
เปิดม่านมายา : 'แม่เบี้ย'
'แม่เบี้ย'ปรารถนาแห่ง'รสกาม'กับสำนึกใน'บาปประเวณี' : คอลัมน์ เปิดม่านมายา โดย... ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่บทประพันธ์ชั้นเลิศ มักจะถูกนำมาสร้างเป็นละคร หรือภาพยนตร์หลายครั้งในแง่มุมของการตีความที่ต่างกันไป เช่นเดียวกับ “แม่เบี้ย” ของคุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ (นักเขียนรางวัลซีไรต์ พ.ศ.2527 จากเรื่อง “ซอยเดียวกัน”) ที่เป็นวรรณกรรมร่วมสมัยซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่นักอ่าน นับตั้งแต่ที่คุณวาณิชจรดปากกาเขียนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสาร “ลลนา” รายปักษ์ มาสู่นักอ่านรุ่นปัจจุบัน
“แม่เบี้ย” เคยสร้างเป็นละครและภาพยนตร์ถึง 4 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกเริ่มจากปี 2531 สร้างเป็นละครเวที โดยมี กาญจนา จินดาวัฒน์ แสดงเป็น "เมขลา" และลิขิต เอกมงคล เป็น "ชนะชล"
ต่อมาปี 2532 ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมี ภัสสร บุณยเกียรติ รับบทเมขลา และลิขิต เอกมงคล รับบทเดิม คือ ชนะชล
ครั้นปี 2534 ช่อง 7 นำ “แม่เบี้ย” กลับมาสร้างอีกครั้งในรูปแบบของละครโทรทัศน์ โดยให้แสงระวี อัศวรักษ์ รับบทเมขลา และยุรนันท์ ภมรมนตรี รับบทชนะชล ซึ่งละครเวอร์ชั่นนี้ร้อนแรงมากจนถึงกับต้องเลื่อนเวลาฉายให้ดึกขึ้นกว่าเวลาฉายปกติกันเลยทีเดียว
ทิ้งช่วงไปอีก 10 ปี จนถึง พ.ศ.2544 “แม่เบี้ย” ก็ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง โดยมี "มะหมี่" นภคปภา นาคประสิทธิ์ รับบทเมขลา และ "กอล์ฟ" พุฒิชัย อมาตยกุล รับบทชนะชล
และในปี 2555 นี้ เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน แห่งบริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) และไทยประกันชีวิต ก็ได้ตัดสินใจนำมาสร้างเป็นละครเวทีอีกครั้งในรูปแบบของ THE EROTIC ART MUSICAL โดยได้ "หญิง" รฐา โพธิ์งาม มารับบทเป็นเมขลา และฐปนัท สัตยานุรักษ์ รับบทเป็นชนะชล ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ นอกจากบทเพลง 19 ใน 21 เพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องแล้ว ยังมีเทคนิคด้านโปรดักชั่นและมัลติมีเดียที่ล้ำสมัย จนกลายเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่จะนำพาละครเวทีไทยไปสู่ระดับสากลได้อย่างไม่ยากเย็น
บทประพันธ์เรื่อง “แม่เบี้ย” นี้ มีแง่งามอย่างไรหรือ จึงถูกนำมาสร้างเป็นละครและภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้งเช่นนี้
ผู้เขียนตั้งคำถามนี้กับตัวเองเมื่อได้รับทำหน้าที่ดัดแปลงบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นบทละครเวทีเวอร์ชั่นล่าสุด จึงหยิบหนังสือเรื่องนี้ขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง แล้วก็พบว่า..แก่นเนื้อในของหนังสือเรื่องนี้มีอะไรให้ค้นหามากมายนัก และเมื่อปิดหนังสือลงแล้วก็พบว่าภาพเรือนไทยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณของหญิงสาวนาม “เมขลา” นั้น ยังกระจ่างอยู่ในจินตนาการ ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศ GOTHIC อย่างไทยๆ อวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ไทยหลากชนิด กับแสงวับแวมยามค่ำคืนทั้งจากแสงตะเกียงลานและจากแสงจันทร์ที่ส่องลอดกิ่งไม้ลงสู่ดิน อันเป็นโลเกชั่นหลักของเรื่องที่สวยงาม แต่ก็ลึกลับไปในเวลาเดียวกัน
“งูเจ้า” ที่อยู่ที่เรือนไทยแห่งนี้ คืออีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญที่ทำให้เรื่องชวนติดตามมากขึ้น ซึ่งทำให้ “แม่เบี้ย” ไม่ใช่นิยายรักสามเส้า ชิงรักหักสวาทอย่างดาดๆ แต่ลุ่มลึกกว่านั้นมาก งูเจ้าตัวนี้จะมีอายุเท่าใดไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ามาปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อเมขลาเริ่มเป็นสาว และหายไปเมื่อเมขลาไปเรียนเมืองนอก ครั้นเธอเรียนจบกลับมาที่เรือนไทย งูเจ้าจึงกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพราะงูเจ้าตัวนี้คือ “ผู้คุ้มกฎ” ผู้ซึ่งคอยดูแลอารักขาเมขลาให้ปลอดภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดี และคอยตักเตือนเธอเมื่อยามที่เธอกำลังจะก้าวข้ามเส้นแห่งศีลธรรมอันดี ไปสู่ฤทธาแห่งดำกฤษณา
“เมขลา” ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่องเองก็มีเสน่ห์ให้น่าศึกษาไม่น้อย ผู้เขียนตีความว่า เธอเป็นหญิง 2 บุคลิก ที่บุคลิกหนึ่งก็เป็นสาวเปรี้ยว เฉี่ยว เรียนจบจากเมืองนอก เป็นเจ้าของบริษัททัวร์ในกรุงเทพฯ ที่คล่องแคล่ว ทันคน ทันโลก และใช้ชีวิตอย่างที่เรียกว่าฟรีเซ็กส์ เธอมีเซ็กส์เมื่อพอใจ โดยไม่สนใจว่าคนที่เธอมีสัมพันธ์ด้วยนั้นจะเป็นชายโสดหรือมีเจ้าของแล้ว แต่เมื่อเธอกลับมาอยู่ที่สุพรรณบุรี เธอกลับเหมือนคนหลงยุค ยังห่มผ้าแถบ นุ่งผ้าถุง อาบน้ำในแม่น้ำ และใช้ตะเกียงลานให้แสงสว่างโดยไม่นำพาต่อไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของคนในโลกปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย
เมขลาใช้ชีวิตอย่างสนุกสุดเหวี่ยงโดยไม่เคยมีคำว่า “แต่งงาน” อยู่ในหัวแม้กระทั่งกับ “เสี่ยพจน์” ที่จริงจังและจริงใจกับเธอ ตราบจนกระทั่งเธอได้พบกับ “ชนะชล” ซึ่งแต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติอย่าง “ไหมแก้ว” อีกทั้งยังมีโซ่ทองคล้องใจถึง 2 คนด้วยกัน
“ชนะชล” นั้น เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายเพราะเรือล่ม แต่เขาโชคดีรอดมาได้ และเมื่อพ่อบุญธรรมรับเขาไปเลี้ยง จึงตั้งชื่อเขาเอาเคล็ดว่า “ชนะชล” ชายหนุ่มเติบโตและใช้ชีวิตตามครรลองที่ควรจะเป็น ร่ำเรียนจนจบเมืองนอก แล้วกลับมาทำงานที่มั่นคง และแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่บุญธรรมชี้นำว่าเหมาะสมกับเขาที่สุด ชนะชลมีทุกอย่างทางสังคมชนิดที่หลายคนต้องอิจฉา แต่สิ่งที่เขาขาดคือ ความ “เร้าใจ” ในชีวิต และเมื่อเขาได้พบกับเมขลา เธอคือความ “เร้าใจ” ชนิดที่ดึงดูดเขาให้เข้าหา และไม่อาจถอนตัวถอนใจกลับได้เลยตราบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเขา ในบทละครของผู้เขียนจึงมีประโยคที่ตัวละครตัวหนึ่งได้พูดไว้ว่า..
“เรื่องของผู้หญิง ผู้ชาย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้...”
และเรื่องราวทั้งหมดนี้เล่าผ่านตัวละครที่ชื่อ “ลุงทิม” ผู้ซึ่งนำพาคนดูไปรู้จักตัวละครอื่นๆ ในเรื่อง
จึงอาจกล่าวได้ว่า “แม่เบี้ย” เป็นเรื่องที่นำเสนอเรื่องราวเชิงจิตวิเคราะห์ระหว่างหญิงชายที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ หากแต่ต้องมาตกอยู่ในกงเกวียนของตัณหาราคะที่ยากจะถอนตัว จนเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาที่จะเสพรสกามอย่างอิสระ กับความสำนึกในบาปประเวณี โดยมี “งูเจ้า” เป็นผู้ตักเตือน
“แม่เบี้ย The Erotic Art Musical” กำกับการแสดงโดย มารุต สาโรวาท ยังคงเปิดการแสดงอีก 4 รอบ ในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ 12-13-14 ตุลาคม (12 ต.ค. 1 รอบ, 13 ต.ค. 2 รอบ และ 14 ต.ค. 1 รอบ เวลา 14.00 น.) ณ โรงละครเอ็มเธียเตอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์
.......................................
(หมายเหตุ 'แม่เบี้ย'ปรารถนาแห่ง'รสกาม'กับสำนึกใน'บาปประเวณี' : คอลัมน์ เปิดม่านมายา โดย... ฐา-นวดี สถิตยุทธการ)