
ถมถุย หรือใช่ หรืองง
ถมถุย หรือใช่ หรืองง : คอลัมน์ ไตรโทน โดย... จิรายุส วรรธนะสิน
เดี๋ยวนี้เวลามีนัดกินข้าวตามร้านแบบฟังเพลงไปด้วย ดื่มไปด้วย อารมณ์แบบประชุมนอกรอบ เบาๆ เลิกคุยแล้วจะสังสรรค์ต่อหรือกลับบ้านเลยก็ได้ ...ร้านที่จะถูกเลือกแน่นอนครับ ต้องมีนักดนตรีเล่นสดให้ฟังหัวค่ำก็เพลงสบายๆ แบบอีซี่ลิสเซินนิ่ง พอหลังสี่ทุ่มขึ้นไปก็เริ่มสนุกสนานคึกคักขึ้นมาหน่อย พวกต้องกลับบ้านเพราะมีที่บ้านรอ ก็พากันขอตัวกลับกันไป ก็จะเหลือพวกที่อยู่ต่อได้ ดื่มกันต่อระดับเข้าสังคมอย่างเหมาะสม ผมหมายถึงวันธรรมดานะครับ ไม่ใช่วันศุกร์ หรือวันเสาร์แต่อย่างใด ทีนี้พอหลังเที่ยงคืน ก็ถึงเวลาที่พวกที่ดื้อๆ ทั้งหลายมีอันจะต้องกลับบ้านบ้างแล้ว เพราะเนื่องจากถ้าเลยจากจุดนี้ไป มันจะไม่ใช่คำว่าเหมาะสมอีกต่อไป มันจะโดนเมียด่าแน่ๆ หรือแม่โทรตามอย่างแน่นอน ช่วงนี้ เพลงคึกคักสนุกสนานเต็มที่ คุยแทบไม่ได้อีกแล้ว เรียกว่าตะโกนใส่กันอย่างเมามัน พอหลังเที่ยงคืนครึ่ง ทีนี้ล่ะครับ “เหลือแต่ตัวจริง” รุ่นที่เรียกได้ว่าไม่มีพันธะใดๆ การดื่มของเขาไม่ถูกจัดให้เรียกว่าดื่มแบบเข้าสังคมอีกต่อไป เพราะน่าจะเรียกว่า "เข้าสังคมรังเกียจ" "เอาจนหมดหยด" หรือ “เมาแอ๋” ถ้าหนักกว่านี้ก็อาจเรียกได้ว่าดื่มแบบโดนจับเป่า ต้องกดเอทีเอ็มทันทีสองหมื่นบาท
ผมเป็นคนนึงครับที่มีโอกาสเจอบรรยากาศแบบนี้โดยไม่ได้เจตนา คือส่วนตัวแล้วไม่ชอบไปในที่แบบนี้เลยแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถูกเลี้ยงรับรองคุยงานกับลูกค้าที่น่ารัก ว่าจะมีโปรเจกท์อะไรทำกัน แบบเงินมหาศาล ถามว่าทำไมคุยกลางวันไม่ได้ ก็เพราะเรื่องของเราเป็นเรื่องจิ๊บๆ ของเจ้าสัวที่ต้องคุยตอนอาหารเย็น เรียกว่าเขาสละเวลามาเจอเราก็ดีถมไปแล้ว เป็นต้น
แล้วอย่าเข้าใจผิดนะครับว่าผมเมาแอ๋ ผมเพียงดื่มอยู่ในเลเวลเข้าสังคมระดับเหมาะสม แต่ที่อยู่สังเกตการณ์นาน ไม่ได้เป็นเพราะ "กะว่าจะดื่มแก้วเดียวแล้วปืนลั่น กลายเป็นสิบแก้วติดลมอย่างที่ท่านคิด” แต่เป็นเพราะงงกับวัฒนธรรมแปลกๆ ที่สามารถจำแนกได้ดังต่อไปนี้ คือ
1.งงกับวัฒนธรรมการเสพดนตรีของคนยุคนี้ คือต้องเท้าความให้ฟังสั้นๆ ก่อน ที่ผมไม่ชอบมาที่แบบนี้เนื่องจาก ถ้าคิดจะฟังดนตรีก็ไปที่ดีๆ ที่เขาเล่นดนตรีกันอย่างจริงจัง ซึ่งก็มีไม่กี่ที่ ที่ถูกกับรสนิยมของเรา เช่น Saxophone หรือ Wine beeper คือไปฟังเพลงอย่างเดียว ดื่มได้แบบเมาไม่ขับก็ทำได้ สังสรรค์กับเพื่อนนักดนตรีด้วยกันอย่างถูกที่ถูกเวลา เล่นเพลงยุคที่เราชอบแบบฟังยังไงก็ไม่เบื่อเพราะเราไม่ได้เอาความอะไรกับมันมากมาย ดูแค่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบนเวที นักดนตรีจะทำอะไรบ้าง มือกลองจะเป็นยังไง มือกีตาร์ทั้งสองท่านจะเล่นอย่างไรบ้าง หรือ มือเบส จะออกลีลาแค่ไหน คือมันสนุกตรงนี้
แต่ร้านที่ผมไปผิดที่ผิดทาง ที่อธิบายไปข้างต้นนั้น ตั้งแต่หัวค่ำจนดึก ระดับคนเมาร้องเพลงตามกันดังลั่นนั้น ปรากฏว่า “มันมีเพียงกีตาร์โปร่งตัวเดียว กับมือกลองที่ตีกลองบนกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า กาฮอง" ที่งงกว่านั้นคือ มันเล่นแบบนี้ตั้งแต่หัวค่ำยันดึก ด้วยเครื่องดนตรีเพียงแค่นี้จริงๆ แล้วแต่ละเพลงที่เลือกเล่นเป็นเพลงออริจินอลฮิตแบบสตริงคอมโบ้หมดเลย คือหมายถึง มีเครื่องดนตรีมากกว่าสี่ชิ้นขึ้นไปจากห้องอัดเสียงทั้งสิ้น ฮิพฮอพก็มี แบบบิ๊กแบนด์ก็มีครับ แต่...มันเล่นกันสองชิ้น พ่อแม่พี่น้องจริงๆ นะครับ เขาเล่นกันสองชิ้นตลอดคืนเฉย ที่ร้ายไปกว่านั้น คนเที่ยว เอาครับ เอากันหมดเลย (เอาหมายถึงสนุกสนานร้องตามอย่าได้คิดเป็นอย่างอื่น) บางทีผมเคลิ้มไปด้วยเลย ถึงกับนึกว่า เอาล่ะ ต่อไปนี้กรูทำเพลงด้วยไอ้สองชิ้นนี้ก็น่าจะพอ จะไปคิดอะไรเยอะเพื่อ?...คือไม่ได้ปฏิเสธมันนะครับไอเจ้ากีตาร์โปร่งตัวเดียวกับอีกลองกาฮองเนี่ย เพียงแต่มันต้องเป็นเพลงแนวแบบอยู่เกาะ ชิลๆ แบบแจ็ค จอห์นสัน อะคูสติกนิดๆ อะไรประมาณนั้น ไม่ใช่ เล่น ดา เอ็นโดรฟิน หรือ บอดี้สแลม หรือเปล่า ...หรือผมรับไม่ได้อยู่คนเดียว นึกขึ้นได้ ทันใดนั้นเองผมก็กระดกน้ำเปล่าเข้าไปอีกหนึ่งอึก ทีนี้ดนตรีเริ่มฟังดีขึ้น กลมกลืนจนผมนึกได้ว่า “เออ มันเก่งวุ้ย เอาอยู่เฉยเลย”
2.เกิดความศรัทธากับนักดนตรียุคดิสโก้มากขึ้น นั่นหมายถึง เคยได้ยินเขาเล่ามาว่า บาร์สมัยก่อนเครื่องดนตรีต้องมากชิ้น แล้วเล่นดนตรีต้องให้เหมือนแผ่นมากที่สุด คนยิ่งเข้าร้าน...พูดแค่นี้แทบจบเรื่องได้เลย แต่เดี๋ยวก่อน ขออีกนิด เล่นเหมือนไม่พอครับ คุณต้องเห็นชุดฟอร์มนักดนตรีด้วย น้ำตาแทบไหล คือ จัดเต็ม ปักเลื่อม กางเกงขาบาน รองเท้าหัวโต มีห้าคนแต่งเหมือนกันห้าคน มีหกคนแต่งเหมือนกันหกคน เรียกว่าเป๊ะมาก ขอย้ำอีกว่า การเล่นต้องเหมือนแผ่นมากๆ คนจึงจะเข้าไปฟังเท่านั้น
ยุคที่ผมเล่นในผับ ไม่ต้องแต่งตัวมากแล้วครับ แต่คนฟังยังต้องการฟังแบบเต็มวงดนตรีกันอยู่ ไม่รู้ว่าถ้าเรียกว่าถมถุย จะแรงไปมั้ยสำหรับการฟังเพลงแค่สองชิ้นในแนวอะไรก็ได้แล้วมีความสุข ยุคผมเนี้ยะ มีเพลงไทยสากลให้เล่นกันเยอะแยะแล้วครับ เป็นยุคทองของผับเลย ไม่เน้นเต้น ไม่ต้องมี ฟลอร์เต้นรำ คือไม่เน้นเต็นแต่เน้นร้องตาม ผับเปิดกันอื้อซ่าทีเดียว
มันอีท่าไหนเนี่ยที่คนหันมาเอ็นจอยกับเครื่องดนตรีเพียงแค่นี้ในยุคแห่งวันนี้ ทันใดนั้นเอง ผมกระดกน้ำเปล่าเข้าไปอีกหนึ่งอึก จึงสำนึกขึ้นได้ว่า
ก็ในเมื่อคนไม่ให้เกียรติกับดนตรีกันแล้ว ตั้งแต่ยุคเทปผีซีดีเถื่อน เรื่อยๆ มาจวบจนทุกวันนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทุกวันนี้รสนิยมมันก็ฟังกันแค่นี้จริงๆ
.......................................
(หมายเหตุ ถมถุย หรือใช่ หรืองง : คอลัมน์ ไตรโทน โดย... จิรายุส วรรธนะสิน )