
วันเก่าก่อนอันอ่อนหวานต่อการอำลาของ'โรงศรีสยาม'
วันเก่าก่อนอันอ่อนหวานต่อการอำลาของ'โรงศรีสยาม' : คอลัมน์ หนังโรงเล็ก โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร
หลังน้ำท่วมของปีที่แล้ว ผมใช้เวลาพักร้อนไปกับการเยี่ยมเยียน “เรื่องเก่า” ขับรถไปดู “บ้านเก่า” ที่เคยอาศัยมา 3 แห่ง (ตรงข้ามแม่พระฟาติมา, พระประแดง และวัดสน)
และขับไกลขึ้นด้วยการไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่ระยอง หลังจากเขาแต่งงานไป “ปักหลัก” กับสาวที่นั่นนาน 20 ปีแล้ว แต่ที่ดูจะรู้สึกอ่อนไหวอยู่มาก ก็ตอนขับรถไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าที่เคยอยู่ชั้นประถม ซึ่งนับได้ว่าห่างมา 30 ปีพอดี
ผมยังจำก๊อกน้ำ ที่ตัวเองต้องเอาปากไปรองกินหลังเตะบอลพลาสติกเสร็จ ไม่เคยลืมป้าอ้วนๆ ที่ขายกุยช่ายหน้าโรงเรียนที่ดูไม่สะอาดนัก แต่เราก็กินทุกวัน และแน่นอนที่สุด ครูใหญ่หรือครูในตอนนั้น ที่หลงเหลือเพียงคนเดียว เพราะทุกคนต่างล่ำลาอาชีพด้วยวัยที่แก่ชรากันไปหมด
สายวันนั้น ผมนอนเล่นอยู่บนม้าหินหน้าโรงเรียน ใต้ต้นชมพูพันทิพย์ ก่อนที่ครูคนหนึ่งจะจำได้ และเรียกไปถามไถ่ถึงความหลัง
ผมคิดว่า “ทุกคน” มีความหลังแบบนี้ อยู่ที่ว่าเรา “คุ้ย” หรือ “รื้อ” เรื่องเก่าก่อน ขึ้นมาในวันใด ไม่จำเป็นต้องรอให้แก่แล้วนึกถึงอดีตก็ได้ เพราะการคิดถึง นึกถึงอะไรแบบนี้ สำหรับผมเป็นเรื่องโรแมนติกเสมอ
เย็นวันนั้น ไปจบลงที่โรงหนังจักรวาลเธียเตอร์ ย่านดินแดง และศรีสยาม ย่านพระประแดง ซึ่งผมผูกพันกับการดูหนังมา วันนี้มีข่าวว่าได้มีการทุบทิ้งแล้ว และนี่ไม่ใช่เรื่องฟูมฟายมานึกถึง ทุบไปเถอะครับ เพราะถ้าเอาไปสร้างที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้าน คงจะมีประโยชน์มากกว่า “ฉายหนังโป๊” และยืนตายซากอยู่แบบนั้น
จริงๆ ผมควรจะพูดถึงโรง “จักรวาลเธียเตอร์” ซึ่งอยู่หน้าบ้านผมตอนเด็กๆ แต่ถ้า “เด็กน้อยโตโต้” ในหนัง cinema paradiso เลือกจะรู้สึกกับโรง cinema paradise ที่เขาไปวิ่งเล่น และเกาะแกะกับลุงฉายหนังจนผูกพัน ผมก็คิดว่าตัวเองควรจะเขียนถึง “ศรีสยาม” ที่สามแยก พระประแดง เพราะดูหนังตอนเด็กๆ ที่นั่นมากที่สุด
ตรงสามแยกพระประแดงนั้น เมื่อราวๆ 35 ปีที่แล้ว จะมีอยู่ 4 โรง คือศรีสวัสดิ์, เฉลิมศรี, ศรีสยามและไทยเจริญราม่า ทั้งหมดเป็นโรงแบบ “สแตนอะโลน” ฉายหนังตั๋ว 20 บาท สำหรับ “โรงหนังศรีสยาม” ซึ่งฉายหนังไทยนั้น มีความโดดเด่นที่มีลานหน้าโรงกว้างที่สุด และสะอาด
ยังจำได้ว่า จะมีบันไดเตี้ย 2-3 ขั้นก่อนเข้าสู่ตัวโรงหนัง และที่ขายตั๋ว รอบๆ บริเวณนี้ก็เป็นชุมชนคนทำมาหากิน มีตึกแถวล้อมรอบ ถ้านับจากริมถนนก็เดินประมาณ 100 เมตร (นับว่าสั้นมาก ถ้าดูว่าศรีสยามเดินมาไกลถึง 40 ปี) โรงศรีสยามกับเฉลิมศรี รวมไปถึงศรีสวัสดิ์และไทยเจริญนั้น
ทำหน้าที่เหมือนโรงหนังสมัยก่อนในเมือง คือมีคอนเซ็ปต์ไปเลยว่า หนังชาติไหนฉายโรงหนัง หนังจีนยุคจอมโหดฉายที่ไทยราม่า, หนังไทยกับฝรั่งฉายที่ศรีสวัสดิ์ (โรงนี้ “เสียชีวิต” ไปก่อนใครเพื่อน) ส่วนศรีสยามกับเฉลิมศรี ปนๆ กันระหว่างหนังหลายๆ ชาติ
ถึงต้องเสียค่าบัตรดูหนัง แต่ผมคิดว่าโรงหนังก็มีคุณูปการต่อชาวบ้านในความหมายของมัน ชาวบ้านที่อยู่ในพระประแดง ไล่เรื่อยไปจนถึงป้อมพระจุล ต้องพึ่งพาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่โรงหนัง 3-4 แห่งนี้
ช่วงยุค 90 น่าจะเป็นเวลาที่โรงหนังเก่าแบบสแตนอโลนถูกท้าทายและรู้สึกอึดอัด ผมเริ่มเป็นนักข่าวในปี 1993 และจำได้ว่า ตอนทำงานใหม่ๆ เมืองไทยก็ปรับตัวเข้าสู่โรงแบบ “มัลติเพล็กซ์” ที่มีหลายๆ โรงในพื้นที่เดียว โดยก่อนหน้านั้น โรงแบบ ”มินิเธียเตอร์” ที่ซอยแยกย่อย 1-3 โรง มีชีวิตอยู่ในช่วงสั้นๆ (เช่นเมเจอร์ 1-2 ใต้ถุน MBK, OA 1-2 บนสยามเซ็นเตอร์)
การมาถึงของมัลติเพล็กซ์ ก็ไม่ได้มีความผิดอะไรนะครับ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของมัน แต่การมาถึงของโรงหนังแบบใหม่นี่แหละ เหมือน “สแตนอะโลน” ถูกเตือนด้วยเสียงอันดังแล้ว เปรียบเหมือนคน ที่ไปหาหมอแล้วผลตรวจบอกว่า เป็นมะเร็ง ระยะที่ 2
หลังจากนั้น โรงสแตนอะโลนปรับตัวกันใหญ่โต ทุบทิ้งก็มาก เอาไว้เล่นคอนเสิร์ตเฉยๆ ก็มี หรือที่ฮิตมากและประคับประคองตัวเองไว้แบบ “อยู่ไปวันๆ” ก็คือ “ฉายหนังโป๊ควบ” ให้ตาสีตาสา หรือชาวบ้านไปนอนเล่นยามบ่าย
แต่จะวางตัวเองอยู่ในบทบาทของอะไร ผมถือว่ามันก็มีคุณค่าหมด (เว้นแต่ว่าโรงไหนจะเอาไว้เป็นบ่อนพนัน)
คล้ายๆ เด็กชายโตโต้ในวันที่โตแล้ว หนังเรื่อง cinema paradiso เริ่มต้นที่เขาได้รับโทรเลขแจ้งว่า ลุงอัลเฟรโด ที่เขาไปวิ่งเล่นตอนเด็กๆ ไปเกาะแกะ นั่งตัก ดูตาแก่ฉายหนัง ได้เสียชีวิตลงแล้ว
เช้าเมื่อวาน เพื่อนคนหนึ่งที่กำลังทำหนังสารคดี โทรมาบอกว่า เขากำลังจะถ่ายโรงหนังศรีสยาม
“เนี่ย มายืนรอ เขากำลังจะทุบทิ้ง ว่าจะถ่ายตอนกำลังทุบเลย”
นี่ไม่ใช่เรื่องเศร้า และยิ่งมิใช่เรื่องฟูมฟาย
แต่คือการล่ำลา และโบกมือขอบคุณ
ต่อวันเก่าก่อนอันอ่อนหวาน
.......................................
(หมายเหตุ วันเก่าก่อนอันอ่อนหวานต่อการอำลาของ'โรงศรีสยาม' : คอลัมน์ หนังโรงเล็ก โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร)