
จิตวิทยา การเมือง กับเรื่องของแบทแมน
จิตวิทยา การเมือง กับเรื่องของแบทแมน : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม
จากเหตุสะเทือนขวัญ หลังการสังหารหมู่ของนายเจมส์ โฮล์มส์ ที่อ้างตัวเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก นำปืนไรเฟิลมากราดยิงผู้คนในโรงหนังเมืองออโรรา รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริการะหว่างการฉายรอบปฐมทัศน์เรื่อง ‘แบทแมน’ The Dark Knight Rises กลางดึกวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นโดยผู้ต้องหาอ้างว่าตนเองเป็นโจ๊กเกอร์ ตัววายร้ายคู่ปรับของแบทแมน The Dark Knight ในภาคที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่า เหตุใดไยต้องจับอาวุธลุกขึ้นมาฆ่าคนบริสุทธิ์ตายนับสิบ บาดเจ็บอีกกว่าครึ่งร้อยในครั้งนี้
แม้จะยังไม่มีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า ‘แบทแมน’ มีอิทธิพลเหนือจิตใจผู้คน จนถึงขั้นลากปืนผาหน้าไม้ออกมาไล่ฆ่าคนได้จริงหรือไม่ ขณะที่นักจิตวิทยายังอุบเงียบไม่ออกมาให้ความเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เจมส์ โฮล์มส์ เองก็ไม่ยอมปริปากว่าฆ่าคนเพราะเหตุใด แต่วันที่เขาถูกนำตัวขึ้นศาลเมื่อต้นสัปดาห์ ผมที่ย้อมเป็นสีส้มอมแดงละม้ายคล้ายโจ๊กเกอร์ ก็น่าจะบอกความนัยอะไรบางอย่างได้ไม่น้อย ไม่นับรวมคลิปวิดีโอการนำเสนอผลงานทางวิชาการเมื่อครั้งยังวัยรุ่นของโฮล์มส์ ที่ถูกนำออกเผยแพร่ในเวลาไล่เลี่ยกันเกี่ยวกับการสร้างมโนภาพบางอย่างเพื่อบำบัดสภาพจิต ก็พอจะโน้มนำให้เชื่อว่า ความคิดจิตใจของหนุ่มคนนี้ไม่ปกติธรรมดาแน่
นอกจาก เจมส์ โฮล์มส์ จะมีพฤติกรรมเลียนแบบ ‘โจ๊กเกอร์’ ใน The Dark Knight แล้ว ยังมีข้อที่น่าสังเกตคือ เจ้าวายร้ายในภาคแรก “Batman Begins” ดอกเตอร์โจนาธาน เครน หรือ ‘สแกร์โครว์’ ก็ผลิตสารเคมีหลอนประสาทที่ทำให้เกิดภาพลวงตาเพื่อทำลายล้างประชาชนเมืองก็อตแธม ซึ่งก็บังเอิญไปคล้ายคลึงกับงานทดลองการสร้างมโนภาพของ โฮล์มส์ เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียน จนทำให้เขาได้รับทุนการศึกษามาแล้ว
เราคงไม่สามารถกล่าวอ้าง หรือระบุลงไปได้ชัดเจนว่า ‘แบทแมน’ ไม่ว่าจะภาคไหนก็ตาม ส่งอิทธิพลหรือโน้มนำให้ผู้คนเกิดจินตนาการคล้อยตามร่วมไปกับตัวละครจนไม่สามารถควบคุมตัวเอง ถึงขั้นออกไปทำร้ายผู้คนได้ (ซึ่งในความเป็นจริง เหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้นได้กับทุกคนอย่างแน่นอน ยกเว้นในกรณีคนคนนั้นมีสภาพจิตไม่ปกติอยู่แล้ว) แต่ประเด็นหนึ่งในฐานะคนดูหนังที่ได้รับประสบการณ์จากการดูหนังชุดไตรภาค ‘แบทแมน’ ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ตั้งแต่ “Batman Begins” “The Dark Knight” และ “The Dark Knight Rises” ก็คือ ความเชื่อมโยงกันทั้งเรื่องของแง่มุมทางจิตวิทยา และการเมืองที่แฝงเร้นอยู่ในหนังอย่างโดดเด่น แนบเนียน สร้างทั้งความรื่นรมย์และส่งให้เกิดภาวะฉุกคิดชวนติดตาม และกลับไปใคร่ครวญต่อหลังจากหนังจบไปอยู่พักใหญ่
สิ่งหนึ่งที่เราพบได้ตั้งแต่ภาคแรก Batman Begins คือ มนุษย์ค้างคาว ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่เก่งกาจเกินปุถุชนคนธรรมดาหรือมีพลังเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด เขาคือคนธรรมดาที่ฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่ง เพราะมีปมในใจตั้งแต่วัยเด็กที่พยายามหาทางขจัดปัดเป่าไปให้ไกล โดยเฉพาะความ ‘กลัว’ เริ่มจากพลัดหลงไปเจอเอาฝูงค้างคาวในถ้ำละแวกบ้าน ‘ตื่นกลัว’ ฉากหนึ่งในละครเวที จนร้องให้พ่อแม่พากลับบ้านซึ่งหลังออกจากโรงละครไม่กี่นาที ก็เห็นพ่อแม่ถูกโจรร้ายฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาในเมืองก็อตแธมที่เขาเกิดและเติบโตมา
ทุกสิ่งที่ บรูซ เวย์น ทำ ไม่ว่าการลุกขึ้นมาสวมหน้ากากแบทแมนพร้อมผ้าคลุม แค่เพราะต้องการแก้แค้น หรืออยากจะขจัดความกลัว และปัดกวาดเมืองของเขาให้สะอาดปราศจากอาชญากรรมก็ตาม แต่ทุกๆพฤติกรรมกว่าจะมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนนี้ ล้วนมาจากแรงขับทั้งภายในและภายนอกอย่างเห็นได้ชัด (การปกปิดโฉมหน้าอาจเป็นเพราะ ‘กลัว’ หรือไม่ก็ทำให้คนที่เห็น ‘กลัว’ และในช่วงที่ฝึกวิชากับราส์ อัล กูล ก็อาจเป็นเพราะด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ที่ต้องขจัดความกลัวออกไปก่อนด้วยเช่นกัน)
ในภาคถัดมา The Dark Knight หนังยังเล่นเอาล่อเอาเถิดกับแง่มุมทางจิตวิทยาอยู่เหมือนเคย เพียงแต่คราวนี้ ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน สลับข้างหันมาถือไพ่ฝ่ายตัวร้ายทั้ง ‘โจ๊กเกอร์’ และ ‘ทูเฟซ’ แม้จะไม่มีการเฉลยปมว่าเหตุใด ‘โจ๊กเกอร์’ ต้องทาหน้าตาขาวโพลน วาดปากกว้างสีแดง มีฉากสนทนาตอนหนึ่งในหนังซึ่งโจ๊กเกอร์พูดกับแบทแมนว่า เมื่อเขายังเด็กถูกพ่อทำร้ายอย่างทารุณด้วยการถูกจับมากรีดริมฝีปากเป็นทางยาวไปถึงแก้ม ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกอย่างเยือกเย็นว่า เขากำลังโกหก แต่น้ำเสียงในขณะนั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าว ซึ่งทำให้เราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่โจ๊กเกอร์พูดออกไปนั้น อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ส่วนอัยการ ฮาร์วีย์ เดนท์ นั้นต้องเสียโฉมกลายเป็นครึ่งคนครึ่งผีก็เพราะอุบัติเหตุจากการช่วยเหลือของแบทแมน และกลายเป็นผู้ร้ายเพราะต้องการแก้แค้นคนที่ทำให้ตัวเองต้องสูญเสียคนรัก
มีส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามา บางคนอาจมองเห็นเป็นประเด็นการเมือง มีฉากหนึ่งหนังพยายามตั้งคำถามถึงความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ เป็นฉากขู่ระเบิดเรือสองลำของโจ๊กเกอร์ ที่ลำหนึ่งเต็มไปด้วยนักโทษ ส่วนอีกลำมีประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยสารอยู่เต็มเรือ โดยต่างฝ่ายต่างถือรีโมทสามารถกดระเบิดเรืออีกลำได้ทันทีหากต้องการเอาชีวิตรอด มาใน The Dark Knight Rises เมืองก็อตแธม ที่ถูกตั้งเวลาระเบิดเอาไว้โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าพลเมืองคนไหนย่างเท้าก้าวออกไป เมืองทั้งเมืองจะต้องพินาศเป็นจุณ การเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดและเด็กตาดำๆ ที่กำลังพยายามหนีออกนอกเมือง ก็มีลักษณะเดียวกันคือการตั้งคำถามต่อจริยธรรมในความเป็นมนุษย์ และดูเหมือนเรื่องหลังสุดจะขยับไปไกลกว่านั้น เมื่อ ‘เบน’ ตัวร้ายในเรื่อง ประกาศปลดปล่อยอิสรภาพให้แก่เหล่าบรรดานักโทษ และชนชั้นล่างผู้ยากจนในเมืองก็อตแธม ลุกขึ้นมามีโอกาสเป็นเจ้าของครอบครองทรัพย์สินในฐานะพลเมืองเทียบเท่าเหล่าเศรษฐี คหบดีและเจ้าหน้าที่รัฐของเมืองก็อตแธมบ้าง
‘แบทแมน’ ทั้งสามภาคของคริสโตเฟอร์ โนแลน ไม่ได้โน้มน้าวให้คนคล้อยตามหรือเชื่อในสิ่งที่เขาคิด หากแต่พยายามสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และสังคมโลกในปัจจุบัน ให้ฉุกคิดใคร่ครวญต่างหาก
.......................................
(หมายเหตุ จิตวิทยา การเมือง กับเรื่องของแบทแมน : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)