
สก๊อย และ ป่วย
สก๊อย และ ป่วย : คอลัมน์ พริกกะเกลือ โดย... นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ [email protected] https://www.facebook.com/NithinandY
ช่วงนี้มีหลายข่าว เป็นประเด็นสังคมน่าเขียนถึง เช่นข่าวภาษาสก๊อย หรือที่มีผู้แกล้งเรียกว่าภาษาสันสก๊อยในโลกโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ที่มาแรงอยู่พักหนึ่ง และดูเหมือนจะค่อยๆ กำลังหายไปหลังจากมีการเผยแพร่คู่มือเล่นเกมภาษาสก๊อย ความตื่นเต้นหรือความท้าทายในการเอาชนะจึงลดลง
พร้อมกับความเข้าใจเพิ่มขึ้นของผู้คนในสังคมจำนวนหนึ่ง ที่อาจจะเริ่มยอมรับแทนการก่นด่าด้วยความตระหนกตกใจว่า กรณีภาษาสก๊อย มิใช่เรื่องของการทำลายภาษาไทย หรือการคิดค้นภาษาลับเตรียมวางแผนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ แต่เป็นเรื่องของการนำภาษามาเล่นเป็นเกมสนุกชนิดหนึ่ง ที่หากมีพื้นความรู้ทางหลักภาษาจะเข้าใจได้ไม่ยากนัก เช่นเดียวกับเกมแองกรี้ เบิร์ด ที่ผู้เล่นจะแก้เกมได้ง่ายขึ้นหากมีพื้นความรู้ทางฟิสิกส์
น่าเชื่อว่า คนคิดภาษาสก๊อยไม่ได้สร้างภาษาสก๊อยแบบมั่วๆ เพราะเมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะเห็นว่าภาษานี้มีหลักการอันแน่นอน เช่นใช้พยัญชนะที่มีอยู่ในภาษาไทยแต่ไม่ค่อยมีการใช้ เช่น ฬ แทน ร ล ใช้ ฒ แทน ม ใช้ ญ แทน ย ใช้ ฌ แทน ช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งหลักการใช้ สระ และวรรณยุกต์ เช่น ที่เหมือนจะนำเอาหลักจากศิลาจารึก “พ่อขุนรามคำแหง” (ซึ่งไม่ว่าจะทำขึ้นในสมัยใด ก็ใช้อ้างอิงกันในประเทศไทยปัจจุบันว่าเป็นต้นกำเนิดภาษาไทย) มาใช้
รวมถึงประยุกต์ “สำเนียง” ของคนปัจจุบัน รวมถึงสำเนียงของคำที่ใช้ในโลกโซเชียลมีเดียเข้าไปอีก เช่น ชิมิ (ใช่ไหม) เบย (เลย) เก๊า (เค้า,เขา) กัลล (กัน) กั่ว (กว่า) เป็นต้น
ถ้าไม่นับชื่อภาษาสก๊อย ที่ตั้งตามชื่อฉายาของเด็กไม่เรียบร้อยตามขนบซึ่งจงใจ “ท้าทาย” ขนบเดิมอย่างโจ่งแจ้ง แม้กลวิธีทำงานของภาษาก็ยังยั่วยุให้เคืองขุ่นจนต้องตั้งคำถาม ซึ่งอาจนำไปสู่คำตอบว่า นี่คือสาระในภาพลักษณ์ของความไร้สาระ ซึ่งอาจจะเหมาะกันดีกับโลกที่ประกาศตัวว่ามีสาระแต่แท้จริงแล้วไร้สาระ
ทั้งหลายทั้งปวง จึงมิใช่เรื่องทำลายสมองเลย หากในทางตรงข้าม เป็นเรื่องของการฝึกสมองแท้ๆ
ตอนนี้หลายคนที่คิดได้ว่า เลิกโกรธคนคิดเกมสันสก๊อยหรือเลิกตกใจกับภาษาสันสก๊อยดีกว่า จึงหันมาโกรธผู้ป่วยโรคจิตประสาทแทน เช่น โกรธ ป้าที่ฉีกรูปเคารพหน้าศาลแม้จะชัดเจนว่าป้าป่วย ต้องตามกระทืบป้าให้ได้ ป้าจะขึ้นเครื่องออกนอกประเทศก็ไม่ให้ไป แม้ปากจะไล่ป้าว่า ไม่อยากทำเหมือนคนไทยอย่างเรา ก็ไปอยู่ประเทศอื่นซะไป๊
และ เช่น ทำหน้าโศกเศร้ากับข่าวยายวัย 55 ปีที่ฆ่าหลานชายแท้ๆ วัย 13 ปี นั่งตบอกอุทานกันด้วยความร้าวรานว่า โถ เลวมาก ทำไมถึงทำกับหลานแท้ๆ ได้ลงคอ จิตใจเหี้ยมโหดชั่วช้า ได้ยินว่ายายคนนี้เคยต้องโทษฆ่าสามีด้วยนะ สงสารก็แต่ลูกสาว ต้องเสียทั้งแม่ทั้งลูก
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยไม่ค่อยเข้าใจกันจริงๆ ว่าโลกนี้มีโรคจิต/ประสาท ดำรงอยู่จริง และผู้ที่มีอาการทางจิต/ประสาทคือผู้ป่วยที่สมควรได้รับการรักษาเยียวยา ไม่ใช่พึงกระทืบมันเข้าไป
มิได้หมายความว่า ผู้ป่วยทำผิดแล้วไม่ต้องรับผิดเพราะป่วย แต่หมายความว่า เราควรจะหัดพิจารณาเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง มิใช่คอยจ้องหาแต่ “คนผิด” ปลายทาง และคิดแบบง่ายๆ ว่าจับคนผิดได้ก็จบ ซึ่งเป็นนิทานมากไปหน่อย โดยเฉพาะกรณียายหลาน ซึ่งกลายเป็นยายคือผู้ร้ายคนเดียว โดยไม่ได้มองบริบทอื่นๆ รวมถึงไม่ได้มองความทุกข์ยากของยายที่ไม่มีความแข็งแรงทางอารมณ์เพียงพอแล้วยังต้องมานั่งเลี้ยงหลานตามลำพัง
บางที ถ้าเราตระหนักเรื่องแบบนี้ในแง่มุมอื่นบ้าง ไม่ใช่แค่คิดจับคนเลวที่ทำผิด เราก็อาจมีส่วนช่วยป้องกันโศกนาฏกรรม เช่น ถ้าสังเกตเห็นเด็กๆ รอบตัว หุนหันพลันแล่นกว่าปกติ แล้วรู้ว่าอาจเป็นอาการสมาธิสั้นเพราะความผิดปกติของสมอง ก็จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาเด็กๆ เหล่านั้นได้ทันท่วงที พวกเขาก็ย่อมไม่เติบโตอย่างไร้ทิศทาง จนกลายเป็นคนสร้างปัญหาให้สังคม
นอกจากประเด็นป่วยจิตแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องของป้าฉีกรูปหรือยายฆ่าหลาน ก็สะท้อนความรุนแรงที่แอบแฝงอยู่ในสังคมไทย ไม่แปลกที่ผู้ป่วยทางจิต/ประสาทซึ่งรู้สึกโกรธและเก็บกดไม่มีทางออกจะใช้วิธีต่อต้านสังคมด้วยการฉีกรูปเคารพของคนหมู่มากในสังคม หรือทำลายสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา เช่น ฆ่าใครสักคน แม้ว่าสิ่งที่เขาคิดจะไม่สมเหตุผล เพราะการฆ่าคนที่เป็นปลายเหตุ มิใช่ข้อสรุปว่า จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด
ถ้าไม่คิดเรื่องยายฆ่าหลาน ผู้ที่บอกว่าฉันเป็นคนปกติทั้งหลาย หากได้ทบทวนพฤติกรรมและความคิดทางการเมืองของตนเอง ก็อาจสะดุ้งกับความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะหลายคนก็คิดเหมือนยายนั่นแหละว่า ฆ่าใครสักคนได้ บ้านเมืองคงเจริญก้าวหน้า เช่น รัฐฆ่าประชาชนที่คิดต่างจากรัฐได้ในนาม “ความมั่นคงของชาติ” ซึ่งทำให้คนที่สนับสนุนรัฐดีใจไชโย
เรื่องแบบนี้ชวนให้สรุปเป็นภาษาสันสก๊อย(ระดับกลางไม่อัลติเมต) ว่า “ถ๊าษังค่ล์มมริ๊ต่ฃ๊ลฌ์เกลิ๊ญฎกลล เป็นสก๊อบ์ยเวิร์กกว๊ร์า" แปลว่า ถ้าสังคมมีแต่คนเกลียดกัน เป็นสก๊อยเวิร์กกว่า
.......................................
(หมายเหตุ สก๊อย และ ป่วย : คอลัมน์ พริกกะเกลือ โดย... นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ [email protected]
https://www.facebook.com/NithinandY)