
สุดเขต สเลดเป็ด
สุดเขต สเลดเป็ด : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม
ผมเป็นแฟนหนังตัวยงของ คุณยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ ครับ ติดตามผลงานมาตลอด ตั้งแต่เรื่องแรกที่เขากำกับคือ “พยัคฆ์ร้าย ส่ายหน้า” ตามด้วย “แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า” “โปงลางสะดิ้ง ลำซิ่งส่ายหน้า” จากนั้นดูเหมือนว่าคุณยอร์ชจะรามือจากหนังตระกูล ‘ส่ายหน้า’ ลองหันมาเล่นมุกเจ็บๆ กับตัวละครร้ายๆ มากขึ้นใน “โหดหน้าเหี่ยว 966” หลังจากเรื่องนี้ คุณยอร์ชก็เปลี่ยนแนวอีกครั้ง มารุกในเรื่องความรักมากขึ้น เริ่มด้วย “32 ธันวา” ตามมาคือ “สุดเขต สเลดเป็ด” และสองเรื่องล่าสุดในหนังชุดนี้คือ “ส.ค.ส. สวีทตี้” และ “วาเลนไทน์ สวีทตี้”
ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งหลังสุดในหนังของคุณยอร์ชเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ใน “32 ธันวา” นั่นคือ การที่หนังของเขาเริ่มพูดถึงความรักอย่างจริงจังมากขึ้น พาคนดูหมกมุ่นกับตัวละครมากขึ้น พล็อตน้อยลง มุกตลกจากการสร้างสถานการณ์น้อยลง ลดดีกรีความพิลึกพิลั่นของตัวละครลง เน้นมุกตลกด้วยคำพูดมากขึ้น และพยายามซ่อนคำคมๆ ระหว่างบทสนทนาตลอดเวลา ซึ่งทั้ง “ส.ค.ส. สวีทตี้” และ “วาเลนไทน์ สวีทตี้” ต่างก็เป็นไปในแนวทางนั้น แต่ทว่า “สุดเขต สเลดเป็ด” กลับดูจะแตกต่างออกไป หนังเหมือนจะเดินอยู่กึ่งกลาง คล้ายอยู่ในภาวะยับยั้งชั่งใจว่าหนังควรจะเดินไปแบบไหนดี ทั้งการพยายามบอกเล่าเรื่องราวความรักไปพร้อมๆ กับการออกค้นหาตัวตนของตัวละครในเวลาเดียวกัน ไม่นับตัวละครประหลาดๆ ที่ครั้งนี้ ถ่ายทอดผ่านวิธีคิดและทัศนคติของตัวละครเอกเลยด้วยซ้ำไป
วันแรกที่ ‘สุดเขต’ มาออดิชั่น นั่นคือการที่เขาแสดงออกถึงทัศนคติอะไรบางอย่างในชีวิตให้คนดูได้รับรู้ และก็เป็นวันที่เขาพบรักครั้งแรกเช่นกัน จากนั้นหนังก็เล่าเรื่องคู่ขนานกันไประหว่างการตามจีบสาวชื่อมะยม และการพยายามดั้นด้นเพื่อขอออดิชั่นครั้งต่อๆไปให้ได้ด้วยเสียงเพลงที่ตัวเองรักและชอบเท่านั้น หนังไม่แตะและลากอารมณ์ดราม่าให้ลึกซึ้งไปกว่านี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะรู้ถึงสถานะของหนังตลกที่ตัวเองเป็น ขณะเดียวกันก็ยังไม่ละทิ้งมุกตลก ที่วางไว้เรียงรายตลอดเรื่องราว ส่วนใหญ่เน้นตลกคำพูด มากกว่ามุกตลกเจ็บตัวเหมือน 4 เรื่องแรกที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าเล่นคำได้น้อยกว่า “32 ธันวา” และอาจจะออกไปทางต่อปากต่อคำซะมากกว่า นอกจากตลกเล่นคำแล้ว หนังยังเล่นตลกกับคาแรกเตอร์ตัวละคร ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของคุณยอร์ชตั้งแต่เรื่องแรก (เห็นได้ชัดจาก ‘โก๊ะตี๋’ ที่บุคลิกเปลี่ยนไปในหนังทุกเรื่อง) จนถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่า หนังของเขาผ่อนคลายขึ้น ไม่เน้นการสร้างสถานการณ์หรือออกแบบบุคลิกตัวละครแปลกเพื่อสร้างเสียงหัวเราะอย่างจริงจัง หากแต่มีเส้นเรื่องบางๆ ไว้เหนี่ยวนำ และใช้บทสนทนาผลักดันเรื่องราวให้เดินไปจนสุดทาง ดังที่เกิดขึ้นในหนัง “ส.ค.ส. สวีทตี้” และ “วาเลนไทน์ สวีทตี้” ซึ่งในความเห็นของผมรู้สึกว่าหนังของเขาสนุกน้อยลงไปทุกทีและในความรู้สึกของผมนั้นก็คิดว่า “แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า” ถือเป็นงานที่ดีที่สุดของฤกษ์ชัย รองลงมาก็คือ “สุดเขต สเลดเป็ด” โดยทั้งสองเรื่องนั้น วางน้ำหนักระหว่างเรื่องของความรัก และความเพียรของคนในการเดินตามฝันของตนได้อย่างลงตัว ซึ่งส่วนหลังของหนังที่ตัวละครจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ที่คนทำต้องการซะทีเดียว
‘สนิท’ กับ ‘สุดเขต’ นั้น เหมือนกันตรงที่ ไม่ท้อถอยกับความฝัน...‘สนิท’ ต่อยมวยไม่เคยชนะ ขณะเดียวกันเพลงของ ‘สุดเขต’ ต่อให้เล่นสักกี่ครั้ง ฟังสักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยมีความไพเราะในสายตาเจ้าของค่ายเพลง...‘สนิท’ อาจจะโชคดีกว่าที่มีแฟนสาวคอยเข้าใจ ในขณะที่ ‘สุดเขต’ ก็ต้องพยายามเอาชนะใจหญิงที่เขาแอบชอบ โดยที่ต้องพยายามรักษาตัวตนของตัวเองเอาไว้ให้ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งลายเซ็นสำคัญในหนังของคุณยอร์ชอย่างที่บอกไว้ นั่นคือประโยคคมๆ หรือวลีเด็ดๆ โดนใจ ที่แทรกสอดไว้ในระหว่างบทสนทนา ซึ่งหลายๆ เรื่องฟังแล้วแค่เป็นคำพูดสวยหรู หาได้มีสาระสำคัญอันใดต่อหนังไม่ แต่สำหรับ ‘แสบสนิทฯ’ และ ‘สุดเขตฯ’ แล้ว คำพูดของตัวละคร กลับสื่อไปถึงประเด็นหลักของหนังได้อย่างคมคาย และสะท้อนไปยังแก่นของเรื่องได้อย่างเถรตรง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของแฟนสาวที่กล่าวปลอบใจแก่สนิท พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวที่ฝันอยากเป็นนักมวยใน “แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า” ว่า ‘โลกนี้ไม่มีใครอยู่สูงกว่าใครหรอก ที่เรามองเห็นเขาสูงกว่าก็เพราะเราก้มตัวให้เขาต่างหาก’ และใน “สุดเขต สเลดเป็ด” เอง วจีที่ ‘สุดเขต’ เอ่ยอยู่บ่อยๆ ก็คือ ‘เราไม่ได้ทำสิ่งที่โลกชอบ แต่เราทำสิ่งที่เราชอบ’ และสุดท้าย การรักษาตัวตน และหวงแหนความเป็นตัวเองของสุดเขต ก็ชนะอุปสรรคทุกสิ่งรวมถึงผู้หญิงที่เขาชอบ ซึ่งชีวิตจริงของคนเรา อาจจะไม่ได้โชคดีขนาดนั้น แต่สำหรับตัวละครอย่าง ‘สนิท’ เราอาจพบเจอได้ในชีวิตจริงมากกว่า นั่นคือคนที่ไม่ได้ทำตามฝัน แต่อาจประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยทางสายอื่น
ทั้ง ‘แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า’ และ ‘สุดเขต สเลดเป็ด’ เป็นหนังของคุณยอร์ชที่ลงตัวที่สุดในทัศนะของผม คือได้ทั้งความสนุกจากการกระทำของตัวละครในการฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลไปสู่จุดหมายได้สำเร็จ ได้เสียงหัวเราะจากเหล่าหมู่มวลตัวละครรอบข้างพระนาง ตั้งแต่ พ่อแม่ ไปจน เพื่อนพ้อง และสุดท้ายได้ความประทับใจ เมื่อได้เห็นตัวละครพบกับความสำเร็จในบั้นปลาย สาเหตุก็เพราะไม่เคยเห็นตัวละครใดในหนังของคุณฤกษ์ชัย ออกเรี่ยวแรงและเก็บงำความตั้งใจ แล้วผลักมันออกมาเป็นความพยายามไล่กวดความฝันของตนอย่างไม่ย่อท้อเหมือนในหนังสองเรื่องนี้ ไม่นับรวมความรักของบุพการีที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกที่ตนรักเดินตามความฝันอย่างที่ต้องการ
ในบรรดาหนังทั้ง 8 เรื่องของเขา “แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า” และ “สุดเขต สเลดเป็ด” มีความเป็นโรแมนซ์มากที่สุด ไม่เพียงแค่เรื่องความรัก หากแต่ยังว่าด้วยการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีงามอีกด้วย
ผมจึงมีความสุขทุกครั้ง ที่หยิบหนังสองเรื่องนี้ขึ้นมาดู ไม่ว่าจะอยู่ในห้วงเวลาใดก็ตาม
.......................................
(หมายเหตุ สุดเขต สเลดเป็ด : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)