
I MISS YOU:รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน
I MISS YOU:รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... อางอาจ สิงห์ลำพอง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของภาพยนตร์ “I MISS YOU รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน” ผมชอบชื่อเรื่องนี้มาก มันเหมือนเป็นคำพูดกันมากกว่าจะเอามาตั้งชื่อภาพยนตร์ได้ คงต้องชมทางค่าย M๓๙ ที่มักจะทำงานภาพยนตร์เก๋ๆออกมาให้ได้ชมกันเสมอ ภาพยนตร์รัก(กับผี) เรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ลำดับที่ 5 โดย มณฑล อารยางกูร เป็นเรื่องของ “บี" ("สายป่าน" อภิญญา) แพทย์สาวป้ายแดง เข้ามาทำงานในแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาล โดยมี "หมอธนา" ("ติ๊ก" เจษฎาภรณ์) เป็นที่ปรึกษา บีได้รับรู้เรื่องราวความรักอันแสนสวยงามและปวดร้าวไปพร้อมๆ กันของหมอธนากับแพทย์สาว “นก" ("จ๋า" ณัฐฐาวีรนุช) เพราะอุบัติเหตุรถชนได้พรากคนทั้งสองให้ห่างกันคนละภพ หมอธนาได้ฝังตัวกับอดีตรักแสนหวานจนไม่ยอมออกจากอ้อมปีกของความรัก เขายอมจมอยู่ความทรงจำเก่าๆ กับคนรักที่ตายไป หมอธนาใช้ความรักความคิดถึงรั้งวิญญาณแฟนสาวให้ยังคงวนเวียนอยู่ บีรับรู้เรื่องราวทั้งหมดและต้องการจะช่วยหมอธนา แต่เธอเองก็กลับติดในวังวนของความรักจนมันดึงเธอเข้าไปด้วย ตัวละครหลักทั้งสามตัวผมว่าเล่นได้แค่เอาตัวเองรอดไปได้ เสมอตัวไม่มีโดดเด่น แต่ตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องกลับเป็นตัวละครที่ออกน้อยที่สุด เป็นตัวละครที่ ทราย เจริญปุระ แสดง ดูเป็นธรรมชาติ ได้ใจ ดูจริงดี ผมว่าเธอมักเป็นนักแสดงที่ออกมาเพื่อขโมยซีนคนอื่นไปได้เสมอ
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะน่ากลัวหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับระดับจิตของแต่ละคน เลยไม่อยากเอาตัวเองวัดคุณค่าความน่ากลัว แต่สิ่งที่ยึดผมไว้กับเก้าอี้กลับไม่ใช่เรื่องความน่าสะพึงกลัว แต่มันเป็นประเด็นของความรักในเรื่องมากกว่า เลยคิดไปว่ากำลังนั่งเรียนในวิชาปรัชญาความรักในโรงภาพยนตร์อยู่ ตัวละครทุกตัวสาดคำคมของความรักสาดใส่กันจนเลือดไหลซิบๆ ประโยคหลักของเรื่องที่ได้ยินบ่อยที่สุด “เราผูกกันแล้วนะ ไม่ว่าคุณจะไปไหน ผมจะไปด้วย” ประโยคนี้เป็นเสมือนแก่น (theme)ของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว มันคือการยึดเหนี่ยวดวงวิญญาณเอาไว้ให้มีห่วง ยึดติดกับคำมั่นแห่งสัญญา
มีใครเคยลองคิดเล่นๆ ดูบ้างว่า “ถ้าเราเคยมีแฟนมาก่อนแต่ต้องเลิกรากันไป แล้วเราก็มีความรักอีกครั้งกับแฟนคนใหม่ นั่นก็หมายความว่าเรากำลังรักแฟนเก่าน้อยลงใช่ไหม” หรือว่า “เรารักกันเท่าเดิม แต่เราแค่คิดถึงกันน้อยลงกันแน่” แล้ว “ถ้าเราพยายามที่จะจำความสุข มันก็ทำให้ลืมความทุกข์ยากขึ้นหรือเปล่า” ปรัชญาความรักเหล่านี้เองที่ภาพยนตร์พยายามตั้งคำถามกับคนดู ผมว่าคนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก ไหนจะต้องรอสะดุ้ง กลัวผี ไหนจะต้องมานิ่งคิดกับปรัชญาความรักที่ชวนขบคิดอีก เข้าตำราสนุกคนทำ ภาระคนดูจริงๆ
แต่เบื้องหลังความสับสนเหล่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้สอนให้เข้าใจในโลกที่เราอาศัยอยู่กัน คือ การที่คนสองคนชอบกาแฟคนละชนิด คนละรสชาติ คนหนึ่งชอบหวาน อีกคนชอบขม แม้เราจะนั่งตรงข้ามกัน แต่ก็สามารถนั่งโต๊ะเดียวกันได้ เพราะวิธีการปรองดองของคนฉลาด นั่นคือ การแบ่งกันกินของกันและกันคนละครึ่งแก้ว ทำให้เราต่างได้รับรู้รสชาติกาแฟของอีกคน การกินกาแฟสองรส มันสะท้อนให้เห็นว่าถ้าเราคิดไม่เหมือนคนอื่น ใช่ว่าจะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ ใส่เสื้อตัวเดียวหนึ่งสีมันคงไม่เข็ดฟันเท่าใส่เสื้อตัวเดียวสองสีหรอกครับ สำหรับผมแล้วใครจะใส่สีอะไรก็ไม่ว่ากัน เพราะผมถือคติว่า ”รักผม...โปรดคิดถึงผม”
.............................
(หมายเหตุ I MISS YOU:รักฉัน อย่าคิดถึงฉัน : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย... อางอาจ สิงห์ลำพอง)