
War Horse
War Horse : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม
ปีที่ผ่านมา เป็นปีทองของผู้กำกับสตีเว่น สปีลเบิร์ก อีกปีหนึ่ง เป็นปีที่เขามีงานชุกทีเดียวเพราะมีหนังจากฝีมือกำกับของตัวเองเข้าฉายไล่เลี่ยกันสองเรื่อง เรื่องแรกคือ The Adventures of Tintin ส่วนอีกเรื่องคือ War Horse (ที่น่าแปลกคือ ทั้งสองเรื่องออกฉายห่างกันไม่กี่วัน) ทั้งสองเรื่องนี้ ต่างก็สร้างมาจากงานเขียนเหมือนกัน เรื่องแรกเป็นหนังสือการ์ตูน ส่วนเรื่องหลังมาจากนวนิยาย ทั้งสองเรื่องทำรายได้มาก-น้อยกว่ากันไม่เท่าไหร่ (เฉพาะในอเมริกา ส่วนรายได้ทั่วโลกเรื่องแรกมากกว่าเกือบเท่าตัว) หนังทั้งสองเรื่องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เหมือนกันและชวดหมดทุกรางวัลเหมือนกัน (ที่น่าสนใจคือทั้ง ‘Tintin’ และ ‘War Horse’ เข้าชิงในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมเหมือนกัน จากฝีมือคนทำดนตรีคนเดียวกันคือ จอห์น วิลเลี่ยมส์) The Adventures ออกวางจำหน่ายในรูปแบบ DVD ตั้งแต่ต้นปี ส่วน War Horse เพิ่งลงแผ่นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง รายละเอียดทางเทคนิคในแผ่นดีวีดีของหนังทั้งสองเรื่องไม่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าจับเอาเรื่องของอารมณ์ และความรู้สึกละมุนละไม ซาบซึ้งประทับ ดูเหมือนเรื่องหลังจะพาเราเข้าถึงได้มากกว่า (แต่ถ้าใครชอบอะไรที่ตื่นเต้น เอ็ดตะโร เอะอะมะเทิ่ง ขอแนะนำเรื่องแรกครับ)
จะว่าไป War Horse เป็นหนังที่เชยมาก พล็อตแบบนี้ก็เก่ามาก เทคนิคการเล่าเรื่องต่างๆก็ดูจะล้าสมัยมาก แต่เมื่อรวมๆ กันเข้า นี่แหละคือวิถีแบบหนังคลาสสิคที่จะอยู่ในใจคนไปอีกนาน “ม้าศึกจารึกโลก” ชื่อไทยของหนังเรื่องนี้ เล่าถึงหนุ่มน้อยบ้านนา อาสาฝึกม้าดื้อที่ใครๆก็ไม่อยากเลี้ยง ยกเว้นพ่อของเขา (ซึ่งจริงๆก็ไม่อยากได้เท่าไหร่นัก หากแต่ต้องการเอาชนะนายทุนหน้าเลือดเจ้าของที่ดิน จึงประมูลมันมาในราคาสูงลิบ) แรกๆ เมื่อเห็นว่าฝึกไม่ไหวก็ตัดใจขาย แต่ลูกชายขอร้องจนกระทั่งฝึกหัดมันให้เชื่องได้ แต่สุดท้ายก็ถูกขายไปเป็นม้าศึกในสนามรบ
จากความสัมพันธ์ของคนกับม้าในช่วงเวลาสั้นๆ หลังเจ้า ‘โจอี้’ เข้าประจำการเป็นม้าศึก เรื่องราวหลังจากนั้นก็ว่าด้วยมุมมองของ ‘ม้า’ ที่มีต่อสงคราม และผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมัน ทั้งในฐานะทหารผู้ร่วมรบในสงคราม ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
หลังแตกทัพครั้งแรก ‘โจอี้’ เปลี่ยนมือคนดูแลจากนายทหารหนุ่มอังกฤษไปเป็นม้าเชลยศึกของทหารเยอรมัน ก่อนจะหนีทัพไปอยู่กับครอบครัวชาวนาชาวฝรั่งเศสที่มีแค่ปู่กับหลาน แต่ก็หนีไม่พ้นตกอยู่ท่ามกลางสนามรบในศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผ่านสมรภูมิมากมาย จวนเจียนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก่อนจะพบกัเจ้านายคนแรกและคนเดียวในดวงใจของมันคือหนุ่มน้อย อัลเบิร์ต ผู้เอาชนะความดื้อรั้นฝึกมันให้เชื่องและรู้จักความรัก
“War Horse” เป็นเหมือนหนังมหากาพย์แห่งชีวิต ที่ตัวละครประสบชะตากรรมผ่านเรื่องราวมากมาย พบเจอและพรากจาก เรียนรู้ชีวิตและผู้คนผ่านเหตุการณ์สำคัญมากมายในประวัติศาสตร์ หากแต่หนังเรื่องนี้ เล่าผ่านสายตาของม้าหนุ่มตัวหนึ่ง บรรยากาศของหนังอบอวลไปด้วยอารมณ์แบบในหนังยุค 50’s อย่าง Gone With the Wind, War and Peace และ How the West was Won โดยเฉพาะงานกำกับภาพและดนตรีประกอบ
แสงสีทองเมลืองมลัง ยามอาทิตย์จับขอบฟ้า ทั้งยามเช้าเริ่มวันใหม่หรือใกล้พลบค่ำที่วันเวลาจะสิ้นสุดลง ทุกชีวิตบนบรรณพิภพต่างดำรงอยู่ ดนตรีประกอบที่ให้อารมณ์ปลุกเร้าความฮึกเหิมดูจะขับส่งความรู้สึกไปด้วยกัน
ท่ามกลางเทคโนโลยีของหนังยุค 2.0 ที่เต็มไปด้วยเทคนิคCG. หวือหวา หนังอย่าง War Horse กลับเลือกที่จะเล่าเรื่องด้วยวิธีการคลาสสิคเหมือนที่หนังเมื่อ 40-50 ปีก่อนเคยกระทำมา มันจึงเต็มไปด้วยความงดงาม ตั้งแต่องค์ประกอบศิลป์ งานกำกับภาพ เรื่องราวจรรโลงใจ ดนตรีแสนไพเราะ และแก่นของเรื่องที่สอนใจคน และการแสดงความเคารพต่อหนังมหากาพย์ยุคเก่าที่ไม่เพียงมีงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ หากแต่ผลลัพธ์ที่เกิดแก่ผู้ชม ล้วนสร้างความรู้สึกพองโตในหัวใจไม่แพ้กัน
หนังแบบนี้เหมาะดูในโรงภาพยนตร์ครับ แต่ถ้าไม่มีโอกาส ขอให้จำลองบรรยากาศคล้ายเคียงด้วยโฮมเธียเตอร์ของคุณ ตั้งแต่ทีวีจอกว้างขนาดไม่น้อยกว่า 32 นิ้ว รองรับอัตราส่วนภาพ Anamorphic Widescreen 16:9 ได้สมบูรณ์แบบ รวมทั้งระบบเสียงดิจิตอล 5.1 รอบทิศทาง ทั้ง Dolby หรือ DTS. ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าจะดูผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาด 15 นิ้ว หรือฟังเสียงผ่านลำโพงไม่กี่วัตส์ก็ตาม คุณค่าของหนังก็หาได้แปรผันตามตัวเลขทางเทคนิคแต่อย่างใด ขนาดของจอไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ความดังของลำโพงจะแค่หลักหน่วยหรือหลายร้อยวัตส์ แต่รับรองว่าสารที่ม้าศึกตัวนี้นำมาบอกกล่าว นั้นมิได้ตกหล่นแต่อย่างใด เทคนิคต่างๆ ทั้งภาพและเสียงที่เอ่ยไป เป็นเพียงอรรถรสในการรับชมเท่านั้น
“War Horse” เหมือนหนังคลาสสิกในอดีตหลายๆ เรื่อง ที่พยายามเชิดชูความดีงามท่ามกลางสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทุกครั้งมนุษย์เป็นผู้ทำลายและสร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้ นอกจากมนุษย์ยังเป็นผู้ทำลายเหมือนเดิมแล้ว สัตว์หน้าขนตาดำๆ อย่าง ‘ม้า’ ที่ไม่เพียงเป็นเหยื่อ เป็นหากแต่มันยังสะท้อนความโหดร้าย ความเหลวไหล ส่วนในด้านดี มันได้ชักนำมิตรภาพ ความรัก ความอาทร มาสู่ผู้คนในเวลาเดียวกันด้วย
.............................
(หมายเหตุ War Horse : คอลัมน์ เอกเขนกดูหนัง โดย... ณัฐพงษ์ โอฆะพนม)