บันเทิง

คุยเรื่องความรู้

คุยเรื่องความรู้

15 พ.ค. 2552

ว่าด้วย Tagline ของหนังตั้งแต่วันแรกที่ “นสพ.คม ชัด ลึก” ออกวางแผง (เปิดตัวฮาเฮที่ไบเทค บางนา) และผมได้รับมอบหมายให้เขียนวิจารณ์หนัง


  สิ่งที่ตั้งใจเป็นอย่างแรกก็คือ ไม่อยากเขียนวิจารณ์หนังเฉยๆ แต่พยายามจะหาแง่มุม ความรู้ เทรนด์และสาระที่ซ่อนเร้นมาพูดคุยบอกเล่า เพื่อให้มีสีสันและสนุกสนาน

 เหมือนเพื่อนมานั่งล้อมวงคุยกันเรื่อง “วัฒนธรรมหนัง” ไม่ใช่อาจารย์ใส่แว่นตาหนาเตอะ ยืนถือไม้เรียวในชั้นเรียนวิชาภาพยนตร์

 เช่น เรื่องการปล่อยเพลง My Heart Will Go On ที่การตลาดของ Titanic มีการคำนวณว่า มันควรจะออกมาในนาทีที่เท่าไหร่ เพื่อให้สมองและอารมณ์ร่างกายคนดู รับความสุขโศกได้เต็มที่เพื่อเกิดความประทับใจหนัง

 เช่น เทศกาลหนังเมืองคานส์ ที่ใครต่อใครมองว่ายากในการไปฉายนั้น แท้จริงแล้ว มันมีวิธีการอยู่อย่างไม่ยาก เพื่อให้หนังได้ไปอวดโฉม คือมีสูตรสำเร็จอยู่ นักวิจารณ์เขารู้กันนานแล้วว่า คานส์ ไม่ได้เป็นสวรรค์อะไรเป็นชาติแล้ว เบอร์ลิน หรือ ร็อตเตอร์ดัมต่างหากที่น่าสนใจกว่า

 เช่น เรื่อง Product Placement ที่เขียนเมื่อปีแรก เล่าเรื่องของสินค้า สปอนเซอร์ ที่กระจัดกระจาย ซ่อนอยู่ในหนัง เพื่อทำหน้าที่โฆษณาแอบแฝง นักวิจารณ์บางคนบอกว่าเพิ่งมี ขอโทษที มันมีมา 30 ปีแล้วตั้งแต่ปลายยุค 70

 แต่มาชักจะถี่ๆ ช่วงที่หนัง Top Gun และ E.T. รวมทั้งหนังพาฝันต้นยุค 80 ออกฉาย
การคุยอะไรพ้นไปจากการวิจารณ์หนัง จึงเป็นแนวทางของผม เป็นคอนเซ็ปต์ของผมเอง ด้วยเชื่อว่า หนังเป็นวัฒนธรรมและผูกพันโยงใยกับทุก Culture บนโลก เราสามารถหยิบเอาแง่มุม มาพลิกค้น ดั้นด้นหาอย่างมีเหตุผล

 วันนี้ ผมจะชวนคุยเรื่องที่ยังไม่มีใครเขียนถึงนัก มันคือ Tagline ของหนัง
อธิบายอย่างกระชับ Tagline คือ คำโปรย คล้ายสโลแกน ที่โปรยอยู่ในโปสเตอร์หนังที่เราเห็น เช่นหนังปี 2004 เรื่อง The Day After Tomorrow มี Tagline ว่า Where Will We Be? (เราจะอยู่ที่ไหน ถ้าน้ำท่วมโลก) หรือหนังที่จะเข้าสัปดาห์หน้า ซึ่งโดนวิจารณ์ในทางลบมากกว่าบวกอย่าง Righteous Kill ซึ่งมีคำโปรยหรือ Tagline ว่า

 “Most people respect the badge. Everybody respects the gun.” แปลตามอารมณ์เรื่องก็คือ คนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในเหรียญตรา เกียรติยศ แต่พวกเขาก็เชื่อเรื่องการมีปืนหรือใช้อาวุธด้วย

 ผมก็เหมือนบางคน ที่เวลาเดินผ่านโปสเตอร์หนังหน้าโรง หรือดูภาพหนังจากอินเทอร์เน็ตแล้ว บางทีก็มองข้ามๆ ไป ไม่ได้สนใจมากนัก ถามว่าหนังเรื่องไหนมี Tagline บ้าง
ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่า หนังทุกเรื่องล้วนมี Tagline ทั้งนั้น แต่ Tagline หรือคำโปรยที่ว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่า หนังต้องการโปรยคำอะไร หรือขายภาษาอะไรเพื่อบอกเล่า

 เช่น คุณจะพบว่าหนังที่หลายคนอาจจะไปดูอย่าง Angels & Demons นั้น ไม่ต้องการใช้คำโปรยหรือ Tagline อะไรเลย เพียงแค่พาดหัว โปรยคำว่า นี่คือหนังที่ทำมาจากคนเขียน The Da Vinci Code ก็จบข่าวแล้ว เพราะขายความเป็นหนังดังของ ดา วินชี

หรือ ถ้าวันหนึ่ง มีคนเอาหนังสือของ เจ.เค.โรว์ลิ่ง มาทำเป็นหนัง ไม่ต้องไปสร้าง Tagline อะไรมาก เขียนไปเลย นี่คือหนังของผู้เขียน Harry Potter ก็จบข่าวอีก

 หน้าที่ Tagline ในหนัง คล้ายๆ Tagline ในสินค้าทุกหมวด คือมันมีนัยช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์การตลาดให้แก่หนัง มีลักษณะช่วยดึงดูด สร้างแรงเร้าให้อยากไปดู
แต่ระยะหลังๆ Tagline ในช่วง 4-5 เปลี่ยนไปมาก นักธุรกิจบางคนเคี่ยวๆ และเขี้ยวๆ เล่นพาดหัวเลยว่า

 “นี่คือหนังที่ทุกคน จะต้องดูซ้ำ” หรือ “ว่าที่หนังยอดเยี่ยมแห่งปี” ซึ่งก็เสี่ยงกับการถูกด่าถ้ามันไม่ดีจริง

 บางเรื่องไม่จำเป็นต้องมี Tagline นะครับ ถ้านักแสดงแข็งแรงมาก ผู้กำกับออกจะโด่งดังมาก ก็แค่ใช้ชื่อของพวกเขามาพาดหัวก็พอ หนังอย่าง Angels & Demons แค่มีหนังของ ทอม แฮงค์ส ที่หล่อน้อยกว่าผมตอนอายุ 22 (ฮา) คนก็อยากไปดูแล้ว (อยากไปดู ทอม แฮงค์ส นะครับ ไม่ใช่ผม)

 Tagline ดีๆ ในโปสเตอร์หนัง ไม่ต่างอะไรจากเซลส์สาวที่พูดจาดี น้ำเสียงนุ่มนวล น่าเข้าร้านไปดูของขาย แต่ Tagline คุยโวโอ้อวด ก้าวร้าว ไม่ต่างจากคนเชียร์แขกที่ตะโกนบังคับ คนที่เดินผ่านไปมา ให้ต้องซื้อของร้านนี้

 ไปโรงหนังทีไร เราจึงอาจเจอคนสองคนแบบนี้ ยืนเสนอหน้าอยู่ตามโรง
 สวัสดี

"นันทขว้าง สิรสุนทร"
[email protected]