
Annie Leibovitz สารคดี Life Through A Lens
คอลัมน์...หนังโรงเล็ก : Annie Leibovitz สารคดี Life Through A Lens โดย...นันทขว้าง สิรสุนทร
แม้จะเป็นเหมือน “ลูกเมียน้อย” (ที่ดันเป็นคนใช้อีก) แต่หนังสารคดี(documentary) ไม่ใช่ตระกูลหนังที่ต้อยต่ำหรือต้องน้อยใจในตัวเอง
เนื่องเพราะถ้ามีการจัดประเภทต่างๆ ของภาพยนตร์แล้ว หนังตระกูลสารคดีนี่แหละ ที่เป็นส่วนที่สูงส่งที่สุดเพราะมันไม่ต้องปรุงแต่งมากๆ แบบดราม่า และค่อนข้างจะจริงใจในการเล่าเรื่องมากกว่าหนังแนวอื่นๆ เพราะวิธีการที่ตกตรงไปตรงมาของตัวมันเอง
ฉะนั้น เวลาคนทำหนังคนไหนที่ต้องการจะบอกความจริงอะไรสักอย่าง วิธีการง่ายๆ ที่ทำให้คนเชื่อหรืออยากจะเห็นก็คือ การใช้แนวทางของสารคดีนี่เอง
และอย่างไม่ได้นัดหมายกัน ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา หรือ 3 เดือนของปี 2012 ผ่านไปไตรมาสแรก ผมได้ดูหนังสารคดีที่น่าสนใจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น 'รงษ์ วงค์สวรรค์ และหนังคนเก็บขยะของบราซิล หนังคอนเสิร์ตของวงดังๆ มาจนถึง Life Through A Lens ที่เอามาดูซ้ำหลังจากซื้อมาไม่นาน
ชื่อหนังเรื่องนี้ เป็นสารคดีเกี่ยวกับงานของ Annie Leibovitz สุดยอดตากล้องที่ทุกวงการทั่วโลกต้องใช้บริการจากเธอในการถ่ายภาพ เพราะในอดีต แอนนี่ เคยสร้างภาพตำนานไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ภาพ จอห์น เลนนอน นอนขดตัวเปลือยกายจูบโยโกะ เมียรัก, ภาพของ เดมี่ มัวร์ ที่เคยตั้งครรภ์และเปลือยกายถ่ายรูปในแม็กกาซีน
ภาพของ แจ๊ค นิโคลสัน ยืนท้าสายลมในสนามหญ้า หรือ ภาพของ ดิคาปริโอ อุ้มห่านเอาคอของมันพาดหัว
หนังเรื่องนี้ เล่าวิธีคิดของเธอตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ และแสดงให้เห็นว่า เพราะความเป็นเธอที่แปลก จึงทำให้วิธีคิดต่างๆ ในการจินตนาการถึงรูปและภาพ พิเศษไปด้วย มันเป็นภาพที่มีมิติและมีพลังเมื่อมองเข้าไป และเป็นภาพที่เพียงแต่ใส่อะไรบางอย่างเข้าไปให้บิดไปจากท่าปกติ
บางคนอาจจะไม่รู้จักเธอมากนัก พอลองเข้าไปค้นข้อมูลในวิกีพีเดียดู จะรู้ว่า แอนนี่ หรือ แอนนา-ลู-เลโบวิตช์ เกิดวันที่ 2 ตุลาคม 1949 ใน Westbury เมือง Connecticut เธอมีพี่น้องทั้งหมด 6 คนด้วยกัน พ่อของเธอคือ ร้อยโทกองทัพอากาศ และ มาลิลีน เลโบวิตช์ นักสอนเต้นรำร่วมสมัย แม่ของเธอ
ต่อมาในปี 1967 แอนนาได้สมัครไปที่ สถาบันสอนศิลปะซานฟรานซิสโก (แม้ว่าเริ่มแรกจะไปเรียนจิตรกรรม) แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เธอรัก และ พัฒนาฝีมือการถ่ายภาพของเธอ หลังจากที่อยู่ใน นิคมอิสราเอลได้สักพัก เลโบวิตช์ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่อเมริกาอีกครั้ง และในปี 1970 เธอก็เริ่มทำงานให้แก่นิตยสารร็อกหน้าใหม่ ชื่อ Rolling Stone ผลงานของเลโบวิตช์ ทำให้บรรณาธิการ Jann Wenner ประทับใจมาก จนเสนอให้เธอเป็นช่างภาพของเธอ
ภายในสองปี เมื่อเธออายุ 23 เลโบวิตช์ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างภาพ และเธอก็ต้องอยู่กับตำแหน่งนี้ไปอีกสิบปี ตำแหน่งที่เธออยู่นี้ ทำให้เธอได้มีโอกาสที่จะทัวร์ต่างประเทศกับ วง Rolling Stone ใน ปี 1975 ด้วย
ในขณะที่ทำงานกับ Rolling Stone เลโบวิตช์ก็พัฒนาเทคนิคต่างๆ และสร้างเอกลักษณ์ให้แก่งานของตัวเองเรื่อยๆ อย่างการเน้นสี หรือการโพสที่แปลกๆ
Jann Wenner ให้เครดิตเธอในการทำ Rolling Stone หลายปกมากสำหรับนักเก็บสะสม และที่น่าจดจำที่สุดก็คือปกที่เป็นปกเปลือยของ John Lennon ที่โค้งโก่งตัวและกอดรัด โยโกะ โอโนะ ภรรยาของเขา และถ่ายภาพการรวมตัวของ The Beatle ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต
ในปี 1983 เลโบวิตช์ออกจาก Rolling Stone และเริ่มทำงานให้แก่นิตยสารบันเทิง Vanity Fair กับการถ่ายภาพแบบของ เลโบวิตช์ ช่างภาพของ Vanity Fair ก็ทำให้ Vanity Fair เป็นนิตยสารแถวหน้าที่เป็นกระแสนิยมของวัยรุ่น
จนวันนี้มีภาพปกฝีมือของเลโบวิตช์จำนวนมาก ที่สวยงามและทำให้ตะลึง และมักจะเป็นประเด็นให้คนพูดถึงภาพพอร์ทเทรตของดาราคนนั้นกัน อย่าง Demi Moore (ถ่ายรูปตอนที่ท้องใหญ่มากแบบนู้ดมาก) และ Whoopi Goldberg (ที่จุ่มครึ่งตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำนม)
รูปสองนักแสดงนี้จะเป็นรูปที่คนโปรดปรานและจดจำมากที่สุดในปกนิตยสารปีล่าสุด และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีความสามารถในการวาดภาพจิตรกรรม สิ่งนั้นทำให้มีงานเกี่ยวข้องกับร่างกายในงานหนึ่งเป็นภาพพอร์ทเทรต มีชื่อเสียงมากที่สุดของเลโบวิตช์ เป็นภาพของศิลปิน Keith Haring ที่เปลือยเพนท์ตัวเองเหมือนเป็นผ้าใบเพื่อถ่ายภาพ
ในช่วงปลาย 1980 เลโบวิตช์เริ่มต้นทำงานในแคมเปญโฆษณาที่เป็นเป้าสายตาต่อสาธารณะมาก และงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือแคมเปญของ 'บัตรสมาชิก American Express' ที่เป็นภาพของดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาเป็นสมาชิกบัตร American Express เช่น Elmore Leonard, Tom Selleck และ Luciano Pavarotti และงานนี้ก็ทำให้เธอได้รางวัล Clio Award ในปี 1987
ใน 1991 คอลเลกชั่นของเลโบวิตช์ ภาพสี และขาวดำกว่า 200 ภาพ ได้ถูกนำไปจัดแสดงที่ Nation Portrait Gallery วอชิงตัน ดีซี หลังจากปีนั้นก็มีหนังสือถูกตีพิมพ์ออกมา เป็นผลงานรวมเล่ม ชื่อว่า Photographs: Annie Leibovitz 1970-1990. ในปี 1996 เลโบวิตช์ ถูกเลือกให้เป็นช่างภาพอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกแอตแลนตา จอร์เจีย
การเล่าเรื่องในหนังสารคดีเรื่องนี้ มีความน่ารักอย่างหนึ่งตรงที่มันใช้กลวิธีในการถ่ายแบบถ่ายรูปอย่างสารคดี กลับมาเล่าเรื่องย้อนรอยของตัวละครเอง นั่นหมายความว่า เราก็ได้ดูเธอเหมือนถูกถ่ายภาพจากงานที่เธอทำไปในขณะเดียวกัน
ผมไม่แน่ใจว่า Life Through A Lens จะมีขายตามร้านทั่วไปไหม แต่ถ้าจะดูจริงๆ ต้องไปซื้อที่ฟอร์จูน สี่แยกรัชดา ซึ่งเป็นร้านที่ซื้อมา หรือจะลองเดินดุ่มสุ่มเอาตามริมถนนสีลมก็อาจจะเจอ ก็ได้นะ
...................................
(คอลัมน์...หนังโรงเล็ก : Annie Leibovitz สารคดี Life Through A Lens โดย...นันทขว้าง สิรสุนทร)