
เวลา....เป็นเงินเป็นทอง
เวลา....เป็นเงินเป็นทอง:มองผ่านเลนส์คม โดย... องอาจ สิงห์ลำพอง ([email protected])
In Time หรืออาจแปลง่ายๆ ว่า “ทันเวลา” และผมก็หวังว่ายังคงทันเวลาที่จะพูดถึงภาพยนตร์พล็อตเท่สักเรื่องที่เพิ่งจะได้ดูตอนที่เป็นดีวีดี In Time เป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นที่มีแง่คิดอย่างไม่น่าเชื่อ กำกับโดยแอนดรูว์ นิโคล ที่เล่าเรื่องของโลกที่อายุขัยของคนเราถูกจำกัดที่ 25 ปี ซึ่งหนุ่มคนหนึ่ง วิล ซาลาส (จัสติน ทิมเบอร์เลค) ที่เวลา 25 ปีครั้งที่ 3 ของเขากำลังจะหมดลง ซึ่งเท่ากับเขามีอายุใกล้ 75 ปี วิลอาศัยอยู่ในเขตเมืองของคนชนชั้นระดับล่างเรียกแต่ละเขตว่า Time Zone ซึ่งจะมีหลายเขตหลายชนชั้น มีมาตรวัดชนชั้นด้วยอายุขัยของคนในชนชั้นนั้น แต่วิลกลับได้รับอายุขัย 100 ปีจากชายแปลกหน้าที่เขาช่วยให้รอดจากอันธพาลเจ้าถิ่นประจำเขต ทำให้เขาได้รับเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 100 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์
เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็เกิดคำถามที่ก้องในหัวตลอดเวลาว่า ถ้าหากเกิดขึ้นกับตัวเองผมจะทำอย่างไร จะบริหารเวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าได้อย่างไร... แม้ภาพยนตร์จะมีจุดอ่อนที่ค่อนข้างมากอยู่ในส่วนของบทภาพยนตร์ แต่ผมกลับรู้สึกว่าโครงสร้างบทไม่อยู่ในหัวของผมเลย เรื่องของเวลาต่างหากที่เข้ามาแทนที่ทุกอย่าง บ่อยครั้งที่คนเรามองข้ามเกี่ยวกับเวลามันก็ได้ผลุดมาให้ผมเห็นคุณค่าของเวลาทันที เรามักจะละเลยในสิ่งที่ไกลตัว สิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนที่เราละเลยความดีหรือนึกถึงความชั่วในบางครั้งเพราะมันจับต้องไม่ได้ แต่เราเห็นความสำคัญของเงินทอง การเกิด การตาย เพราะมันเป็นรูปธรรมกว่า แต่หากเราละสายตาจากรูปธรรมเหล่านั้น แล้วมองไปสู่นามธรรมที่กล่าวมา เราทุกคนก็จะพบว่าสิ่งที่เราละเลย มองข้าม หรือมองไม่เห็นมันสำคัญมากเพียงใดต่อชีวิตของคนเรา
ภาพยนตร์สะท้อนโลกระบบทุนนิยมและการแบ่งแยกชนชั้นที่ปรากฏในภาพยนตร์เรียกว่า Time Zone เกิดความวุ่นวายในสังคมที่ล้วนเกิดจากการจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัวในสังคม ไม่มีการจัดสรร (distribution) และไม่มีการจัดสรรซ้ำ (redistribution) จนกว่าจะเกิดความเหมาะสม จึงก่อให้เกิดสังคมที่มีความเลื่อมล้ำแตกต่างจนนำไปสู่ความแตกแยก เมื่อหันมามองดูสังคมรอบตัวเองก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าที่เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นก็เพราะเกิดจากรัฐไม่สามารถจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นรากหญ้าให้ลงตัวได้ สังคมไทยจึงยังคงมีความขัดแย้งให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้
อีกหนึ่งแนวคิดที่ภาพยนตร์สอดแทรกหลักความคิดแบบชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่พบได้ในฉากเล่นพนันไพ่ของพ่อนางเอก กับวิล แนวความคิดที่พ่อนางเอกส่อแสดงออกมา คือแนวคิดที่ว่าผู้เหมาะสมจึงจะอยู่รอด เป็นการลงทุนแบบดาร์วิน (Darwinian capitalism) นั่นคือ การคัดเลือกตามธรรมชาติเพราะการศึกษาแบบดาร์วินเป็นการศึกษาแบบช่วงเวลาในเชิงการพัฒนา ผู้เข้มแข็งจะอยู่รอดและวิวัฒนาการสืบต่อไปได้ และแล้วภาพยนตร์ยังตอกฝาโลงให้พ่อของนางเอกด้วยหลักความเชื่อของตัวเองโดยตั้งรหัสเซฟด้วยวันเดือนปีเกิดของชาร์ลส์ ดาร์วิน จนนางเอกและพระเอกสามารถขโมยเอาเวลาไปได้
แล้วภาพที่สะกิดใจผมขึ้นมาอีกครั้งก็เมื่อมองเห็นป้ายโฆษณาบอกราคาค่าเช่าโรงแรมเล็กๆ 5 ชั่วโมงต่อคืน คิดเป็นเงินน่าจะ 2,000 บาทต่อมูลค่าชีวิต 5 ชั่วโมง คิดเป็น 1 ชั่วโมงชีวิตจะมีราคา 400 บาท มันทำให้ผมรีบหันไปมองตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคารของตัวเองทันทีว่า จะซื้อเวลาได้มากเท่าไร พอที่จะอยู่เป็นอมตะได้ไหมหรือจะต้องสิ้นอายุขัยไปภายใน เวลาอันใกล้ก็ไม่รู้ ซึ่งทำให้นึกว่าถ้าเรามีเงินมากๆ เราจะทำอะไร แล้วนึกต่อไปอีกว่าถ้าเรามีเวลามากๆ เราจะทำอย่างไรหรือมันถึงยุคที่เวลาเป็นเงินเป็นทองแล้วจริงๆ ชวนให้นึกว่าถ้าเราต้องใช้เวลาแทนค่าทุกสิ่ง ให้ขอทาน ซื้อกาแฟ ซื้อรถยนต์ หรือให้เวลาแก่คนที่เรารัก เราจะอยู่กันได้อย่างเป็นสุขจริงหรือ? แล้วสุดท้ายสิ่งที่ได้จากภาพยนตร์ In Time มันคือคำถามที่สูงสุดกลับสู่สามัญที่ว่า “เราให้เวลาของเรา...แก่คนที่เรารักกันบ้างหรือยัง...??”
.............................
(หมายเหตุ เวลา....เป็นเงินเป็นทอง:มองผ่านเลนส์คม โดย... องอาจ สิงห์ลำพอง ([email protected])