
A Dangerous Methodไม่'หนักมือ'แต่ก็ไม่'รามือ'
A Dangerous Methodไม่'หนักมือ'แต่ก็ไม่'รามือ':หนังจอกว้าง โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร
แม้หนังในโลกนี้จะมีอยู่ไม่กี่สไตล์หากว่าแบ่งกันอย่างหยาบๆ (โดยที่แต่ละสไตล์ก็แย่งตระกูล(genre) กันออกไปอีก)นั้น ผมก็ยังคงเชื่อว่า surrealism ยังจะเป็นแนวทางที่เข้าถึงยากและส่อแววเจ๊งชัดเจน ไม่ว่ามันจะมาในรูปของเนื้อหาอะไร หรือต่อให้ผู้กำกับคนนั้น เป็นบิ๊กเนมแค่ไหน
สำหรับชื่อ “เดวิด โครเนนเบิร์ก” ไม่ว่าจะดังแค่ไหนในโลกของหนังเซอร์และคนดูในต่างประเทศ แต่ในบ้านเรา นามที่ว่านี้ ยังเล็กน้อยมากสำหรับการรู้จักคุ้นเคยในวงการ (ซึ่งสามารถสำรวจได้)
ผมรู้จัก โครเนนเบิร์ก ตั้งแต่กลางยุค 80 ตอนที่ไปดูหนังตามสมาคมฯ กับเรื่อง Scanners (1981) และ Videodrome (1983) ก่อนที่จะติดอกติดใจ และได้เช่าวิดีโอมาจากร้าน fame ท่าพระจันทร์ ผ่านลิสต์ของหนังอย่าง The Dead Zone (1987) The Fly (1986) Dead Ringers (1988) และ Naked Lunch (1991) ที่พอทำงานไปพักหนึ่ง ก็ได้เจองานอย่าง Crash (1996 และ eXistenZ (1999) Spider (2002) มาถึง A History of Violence (2005) กับ Eastern Promises (2007)
ถ้าดูงานในส่วนหลังนี้ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรบ้างในงานล่าสุดอย่าง a dangerous method
ในปี 1904 “คาร์ล”(ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) เป็นจิตแพทย์มือใหม่ ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวทางของทฤษฎีที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (วิกโก มอร์เทนเซน) เขียนแลพะเผยแพร่ไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่อาชีพ สิ่งที่ คาร์ล สนใจอยากจะทดลองก็คือ การรักษาบำบัดแบบสนทนาพูดคุยกับผู้ป่วย
และคนไข้คนนั้นก็คือ หญิงสาวรัสเซียหน้าตาดีที่ชื่อ ซาบิน่า(เคียรา ไนท์ลีย์) เธออายุแค่ 18 ปี ยังใหม่ต่อชีวิต และไม่ต่างอะไรจากแพทย์หนุ่ม ที่ยังไร้เดียงสาต่ออาชีพ การเริ่มต้นรักษาตั้งแต่ต้นเรื่องล้มเหลว เมื่อมันจบลงด้วยการระเบิดแตกของฝ่ายคนไข้
การรักษาแบบเดิมยังดำเนินต่อไป และ คาร์ล เริ่มการติดต่อกับ ฟรอย์ด ผ่านจดหมายที่สานสัมพันธ์มิตรภาพกัน ทั้งสองคนนัดเจอกันเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิธีวิเคราะห์ผู้ป่วย โดยที่ไปๆ มาๆ นั้น เป็น คาร์ล ที่ตกหลุมพรางความรู้สึกตัวเอง ด้วยการแอบมีเพศสัมพันธ์วิปริตกับ ซาบีน่า เสียเอง
เซ็กส์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับสาวน้อยคนไข้นั้น จิตแพทย์อาจจะมองไปถึงการรักษาแบบหนึ่งเป็นตัวช่วย แต่ ซาบีน่า ไม่มองแค่นั้น แค่ปรารถนาไปไกลถึงการเป๋นคนรัก ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า คาร์ล มีเมียที่ตั้งท้องอยู่ เรื่องยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เมื่อ ฟรอยด์ ก็เข้ามามีส่วนในความสัมพันธ์ชายหญิงคู่นี้
โครเนินเบิร์ก ลดรูปแบบและสไตล์ “การเล่าเรื่อง” ที่ซับซ้อนลง เมื่อเทียบกับงานในยุค 80-90’s ไม่มีการใช้สัญลักษณ์หลายอย่างแบบที่เคยเป็น แต่ทฤษฎีแบบ “แมลงวันตอมอาหาร” ที่เกี่ยวกับปมจิตสาย phycho analysis ยังคงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม อาทิ การกลัวพื้นที่ของ ซาบีน่า การหลงอยู่ในวงกตของความคิดของ คาร์ล
ผมรู้สึกว่า ส่วนที่ถูกลดลงไปคือ เรื่องของการใช้จินตนาการตัวละคร แต่สิ่งที่พอกพูนเข้ามาคือ เรื่องทางจิตวิเคราะห์ ที่มักจะมีอยู่ในหนังของเขาเสมอ
A dangerous method อาจไม่หนักข้อเท่ากับ naked lunch , crash และ the fly แต่มันก็มีแง่มุมที่ท้าทายให้คนดูต้องขบคิด โดยเฉพาะเมื่อดูๆ ไป “คนป่วย” กลับเป็น “คนรักษา” และคนที่คอยเยียวยา กลับเคยเป็น “คนป่วย” มาก่อน
ผมคิดว่าคนที่เรียนทางจิตแพทย์น่าจะดูเรื่องสนุกมาก มากกว่านักวิจารณ์และคนดูทั่วไป เพราะมันมีการอ้างอิงถึงทฤษฎีบางอย่างเกี่ยวกับการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่า method จะเป็นตำราและ theory จะเป็นสมุนไพรชั้นเยี่ยม
อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึก โครเนนเบิร์ก ผ่อนคลายไปมาก ก็คือ งานด้านภาพที่ในอดีต เขาชอบภาพในลักษณะผิดจากความจริง บิดเบือนมันไป เพื่อให้ “ผลปลายทาง” ไปท้าทายการตีความ(interpretation) เกี่ยวกับประเด็นหลัก เราเคยเห็นภาพของแมลงวันแบบบูดเบี้ยว เคยเห็นเครืองพิมพ์ดีดที่มีรูปทรงแปลกไป และภาวะเจ็บปวดจากรถชน ที่ดิบพอเทียยบเท่ากับการร่วมรัก
วิธีการอาจจะเบามือลงไป ไม่หนักมือ แต่ประเด็นทางความคิด ยังไม่ได้รามือไปไหน มันยังคงเข้มข้น และรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ใช้เวลาเผชิญหน้ากับมัน 99 นาทีในโรงหนังลิโด้
แต่ถ้าจะหาอะไรมาแทนคำพูด คงต้องบอกว่า มันก็คล้ายๆ กับ Hugo นั่นแหละ เป็นหนัง “ลุ่มลึก” ที่ไม่ได้ “ดูสนุก” ไม่ใช่งานเอนเตอร์เทนคนดู และคงได้เงินยากในตลาดบ้านเรา
แต่นี่คือหนังติด 1 ใน 10 ยอดเยี่ยมจากการโหวตของนักวิจารณ์ และประทับตราลงในนิตยสารชั้นดีอย่าง film comment เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
...................
(หมายเหตุ A Dangerous Methodไม่'หนักมือ'แต่ก็ไม่'รามือ':หนังจอกว้าง โดย... นันทขว้าง สิรสุนทร)