
คิดสวนทาง - มองเสียงเป็นสี
ในตำราการศึกษาสุนทรียศาสตร์ของดนตรีที่เรียกว่า Music Appliciation ซึ่งนักศึกษาปี 1 ไม่ว่าจะเรียนในสาขาวิชาใด ต้องผ่านวิชานี้ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งการเข้าใจในความงดงามของศิลปะแขนงนี้ มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง มักจะเข
เขามักจะแบ่ง "องค์ประกอบของดนตรี" ออกเป็นสี่ส่วน บางตำรา อาจจะแบ่งออกเป็นห้าส่วนหกส่วนก็มี ซึ่งได้แก่ 1.จังหวะ Rhythm 2.ทำนอง Melody 3.เสียงประสาน Harmony 4.สีสัน Tone Colour ที่เพิ่มมาเช่น 5.ความดังค่อย Dynamic 6.ทิศทาง Direction
ในทฤษฎีสีก็มีการแบ่งออกเป็น สีโทนร้อน สีโทนเย็น ในทางดนตรีก็มีการแบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีในวงออเคสตราออกเป็น โทนร้อนโทนเย็นเช่นเดียวกัน โดยกลุ่มเครื่องทองเหลือง Brasses Section และกลุ่มเครื่องกระทบ Percussions Section เป็น กลุ่มโทนร้อน ส่วนกลุ่มเครื่องสาย Strings Section และกลุ่มเครื่องลมไม้ Woodwinds Section เป็นกลุ่มโทนเย็น
ในการแต่งเพลงเพื่อให้เพลงมีการดำเนินไปอย่างน่าสนใจก็ต้องมีการสลับไปมาระหว่างสีสันสองโทนนี้ ถ้าจะอยู่ในสีสันเดียวนานๆ ก็จะทำให้เพลงน่าเบื่อหรือตึงเครียดเกินไป นอกจากนี้ช่วงของเสียงก็จะให้สีสันต่างกันอีกด้วย เช่นช่วงเสียงต่ำก็จะให้สีมืดทึบ ช่วงเสียงสูงก็จะให้สีสดใส ส่วนช่วงเสียงที่อยู่กลางๆ ก็จะให้โทนสีที่อบอุ่น
การผสมเครื่องดนตรีต่างชนิดกันก็ทำให้เกิดสีสันใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกด้วย หรือการผสมเครื่องดนตรีที่อยู่ในโทนสีตรงข้ามกัน ก็อาจจะสร้างโทนสีที่แปลกใหม่ขึ้นมา นักเรียบเรียงเสียงประสานเก่งๆ มักจะชอบทดลองผสมเสียงให้เกิดเสียงหรือสีสันใหม่ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอๆ
เสียงเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ เราจับเครื่องดนตรีได้ แต่จับหรือมองเห็นเสียงไม่ได้ เห็นได้ก็ต่อเมื่อนำไปผ่านเครื่องออสซิโลสโคป (Oscilloscope) เพื่อแสดงออกมาเป็นรูปของคลื่นเสียง แต่ก็ไม่ไช่เสียงที่เรามีประสบการณ์เคยสัมผัสมา เสียงสั่นสะเทือน ผ่านตัวกลางคืออากาศ ผ่านรูหูชั้นในแล้วแปลงการสั่นสะเทือนเป็นพลังงานไฟฟ้า เป็นคลื่นสมองส่งไปยังสมองเพื่อแปลความหมาย
คนสองคนได้ยินเสียงเสียงเดียวกัน หรือเพลงเพลงเดียวกันจะแปลความหมายต่างกันหรือใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่แต่ละคนเคยสัมผัสหรือได้รับมา คนที่มีสถานภาพทางสังคม การศึกษา ความเป็นอยู่ที่เหมือนหรือคล้ายกันก็มักจะชอบเพลงในรูปแบบที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน เช่น ชอบเพลงร็อกหรือแจ๊สหรือคลาสสิก หรือเพื่อชีวิตหรือลูกทุ่งเหมือนกัน แต่ที่มาเปลี่ยนความชอบเมื่อโตขึ้น แล้วก็มีไม่น้อย แต่ส่วนมากสภาพแวดล้อมและสถานะทางสังคมก็เปลี่ยนไปด้วย
ในช่วงต้นของการมีอาชีพเป็นนักแต่งเพลงของผมนั้น เริ่มมาจากการเป็นนักแต่งเพลงโฆษณา และก็ยึดอาชีพนี้มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี
ปัญหาในการทำงานอาชีพนี้ที่ใหญ่และหนักหนาที่สุดคือ การสื่อสาร เช่น บอกว่าต้องการเพลงร็อก แค่นี้ก็เป็นปัญหาแล้ว เพราะไม่รู้จะเอาดนตรีร็อกยุคไหน ส่วนมากมักมีปัญหาในการสื่อสารความต้องการของตัวลูกค้าเองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเสียงหรือเพลง
ลูกค้าบางคนก็พยายามอธิบายความต้องการของตัวเองออกมาเป็นภาษามนุษย์ต่างดาว เช่น "อยากได้เพลงที่มันรู้สึก นืดๆนะ” !*? บางคนก็คอมเมนท์ว่า “เออ...เพลงก็ฟังเพราะดีครับ แต่ผมยังไม่รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ยุติธรรมเลย...” %^*!?
ที่เด็ดกว่านั้น เคยแต่งเพลงโฆษณาให้น้ำปลายี่ห้อหนึ่ง ลูกค้าฟังแล้วชอบมาก แต่ขออีกนิดเดียวแกให้คอมเมนท์ว่า “เพลงเพราะมากค่ะ ชอบมาก ขออีกนิดเดียวถ้าจะช่วยใส่เครื่องดนตรีอะไรที่ทำให้เพลงมันรู้สึกเค็มๆ นิดนึงได้ไหมค่ะ” !%@**?? ป่อยยย!?
เสียดายตอนนั้นคิดไม่ทัน ถ้าทันก็จะบอกว่า “มองเสียงเป็นสีได้ แต่ยังไม่เคยมองเป็นรสครับ” ใครทำได้ช่วยผมด้วย
"จิรพรรณ อังศวานนท์"