บันเทิง

ณ ขณะนี้ (II)

ณ ขณะนี้ (II)

27 ก.พ. 2555

ณ ขณะนี้ (II):เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟรอ์ คิ้่ม

          ไอเย็นไหลออกมาจากประตูห้างสรรพสินค้าสุดหรูปะทะกับไอร้อนด้านหน้า ท่านผู้มีอุปการคุณเดินหิ้วกระเป๋าราคาแพงพร้อมกับถุงสินค้าที่เพิ่งใช้เครดิตการ์ดรูดไปหมาดๆ เดินก้าวออกจากประตูไม่ทันถึง 5 ก้าว รถยนต์ยุโรปราคาเท่าบ้านหลังโตๆ 1 หลังก็มาจอดเทียบตรงหน้า ลูกสาวสวมชุดนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์แต่หน้าตาอยู่แถวตะเข็บชายแดนไทยเดินกินไอติมลูกละร้อยก้าวขึ้นรถตามคุณแม่ที่เดินเชิดหน้าราวกับเครื่องบินกำลังจะเหินฟ้า
 
          “อือ...รวยดี!” ฉันนึกในใจแล้วเดินผ่านไป...
 
          “คฤหาสน์หรูท่ามกลางแมกไม้และทะเลสาบส่วนตัว ราคาเริ่มต้นเพียง 49.5 ล้าน” แผ่นป้ายคัตเอาท์โฆษณาบ้านใหญ่ยักษ์ ฉันแหงนมองแล้วถอนหายใจ “คนเราจะต้องมีเงินมากเท่าไหร่ จึงจะพูดคำว่า “เพียง” หรือ “แค่” เมื่อจ่ายเงินไปร่วม 50 ล้าน...อือ...รวยดี” ฉันนึกในใจแล้วรถก็แล่นผ่านไป...
 
          “วันก่อนเจ้าของร้านเพชรมาสั่งเด็กที่ร้านให้ยกแชมเปญไปให้ลูกค้า ผมก็นึกว่าจัดงานปาร์ตี้ ที่ไหนได้ลูกค้าสั่งเครื่องเพชรชุดหนึ่งราคา 150 ล้าน” ฉันฟังแล้วถอนหายใจ เงิน 150 ล้าน เอาไปบำรุงการศึกษาสร้างอนาคตของชาติให้ดีขึ้นๆ ได้มหาศาล หรืออย่างน้อยก็เป็นค่าอาหารกลางวันโรงเรียนยากจนได้หลายร้อยโรงเรียน เด็กไทยในถิ่นทุรกันดารคงจะห่างไกลจากคำว่า “หิว” ไปได้หลายปี แต่คนที่อยู่บนหอคอยงาช้างก็คงมองไม่เห็นหญ้าต้นเล็กๆ ที่อยู่บนพื้นดิน เงินของใครเขาก็มีสิทธิ์ใช้ อันนี้ก็เข้าใจ...“อือ...รวยดี” ฉันฟังจบก็ลุกจากโต๊ะนั้นไป...
 
          ในร้านอาหารเล็กๆ ที่เก่าแก่ที่สุดร้านหนึ่ง กลิ่นอับๆ ไฟสีนวลๆ ชวนให้นึกถึงเมื่อครั้งยังเด็ก น่าแปลกใจที่กลิ่นมันพาเรากลับไปหาอดีตได้ราวกับกระโดดข้ามมิติ ยิ่งบรรยากาศที่ไม่ได้ตั้งใจจะย้อนยุค แค่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปตามกาลเวลา ตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ เมนูอาหาร รวมทั้งคนให้บริการก็ทำให้มันเก่าและแก่ไปตามธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นมันเป็นของมันเองโดยไม่ต้องตั้งใจหรือปรุงแต่งอะไร แคชเชียร์รุ่นป้า 2 คนอยู่ในเคาน์เตอร์ พนักงานสวมชุดไทยที่เห็นหน้าก็ไม่กล้าเรียก “น้อง” นอกจาก “พี่” (ของแม่) ที่นี่เขาคงใช้ระบบเลี้ยงคน คือถ้าไม่ลาออกก็คงอยู่กันจนแก่ตายไปข้างหนึ่ง (พอๆ กับร้านไก่ย่างจันทร์เพ็ญ ตรงถนนพระราม 4 คนรับออเดอร์แก่คราวเตี่ยฉันทุกคน) มีพนักงานสาวๆ ปะปนอยู่บ้าง แต่ในอนาคตข้างหน้าถ้าไม่ไปไหน พวกเธอก็คงไม่ต่างจากป้าชุดไทยคนนั้น ณ ปัจจุบัน แต่ฉันกลับเห็นอนาคต...ผู้หญิงเราออกมาทำงานนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะรุ่นแม่ฉันก็ปรนนิบัติผัวดูแลลูกอยู่ตลอด ฉันจึงไม่ทันได้สังเกต พอเริ่มแก่ตัวลงก็เริ่มตระหนักและประจักษ์ว่า ผู้หญิงเรานี่ช่างน่าสงสาร บ้างก็ทำงานเลี้ยงตัว บ้างก็ทำงานเลี้ยงผัว บ้างก็ทำงานเลี้ยงลูก และไม่น้อยที่เลี้ยงมันทั้งครอบครัว ตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้ายันร้านอาหารข้างทาง ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่กลับกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องยืนขาแข็งอยู่ร่วม 10 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน...ใครที่มาคอยบริการ ฉันก็มักจะเอาแบงก์สีแดงม้วนใส่มือให้ตามแบบที่เตี่ยฉันทำมาตลอด บางคนเรียกว่า “เป็นการตอบแทน” แต่ฉันชอบเรียกว่า “เป็นการแบ่งปัน” มากกว่า เมื่อเราไม่สามารถทำให้สังคมนี้เกิดความเท่าเทียมกันได้ การแบ่งปันเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันในสังคมที่ไม่เท่าเทียมนี้ได้บ้าง
 
          ระหว่างทางฟุตบาท คนแก่สวมชุดพนักงานทำความสะอาดเดินผ่านฉัน แขกถือตะกร้าถั่วก็เดินสวนกันไป ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้พอผ่านไปได้แต่ละเดือน ซึ่งบางเดือนก็มีรายจ่ายเหนือความคาดหมายที่ทำให้ขัดสนจนต้องหยิบยืมมาโปะมาแปะพอแก้ขัด เกิดหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ชีวิตบางคราวก็ต้องฝากความหวังไว้กับตัวเลขที่มาให้ลุ้นทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
 
          "เดือนนี้ติดลบอ่ะพี่ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูก็จะถูกหวยงวดนี้แล้ว"
 
          ความหวังและความฝันผนวกกับการมองโลกในแง่ดีว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ พอจะทำให้คนอีกหลายล้านคนหลอกตัวเองให้มีแรงฮึดไปได้วันต่อวัน “หลอกตัวเอง” ฉันชอบคำนี้ ใครจะว่ามันมีความหมายทางลบก็ช่าง! เพราะในชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตรงนี้ ฉันกับคนอีกมากมายก็ยังหาคำอื่นมาแทนมันไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง โชคก็ไม่เข้าข้าง ชีวิตยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน แถมพลุ่งพล่านในบางคราว ชีวิตไม่สิ้นมันจึงต้องดิ้นไปอยู่ให้ได้ ท่ามกลางรถหรู คนรวย และสังคมหรูหราที่บูชาความรวย...เรื่องราวที่ชีวิตนี้ไม่มีวันได้เข้าไปรู้จัก...ความรวย!
 
          โลกจะแตกพรุ่งนี้ฉันก็ไม่แคร์ น้ำจะท่วมปีนี้ก็ให้มันท่วมไป เพราะถึงอย่างไรชีวิตก็ไม่เคยเปลี่ยนไป คนจนก็ยังจนอยู่ คนรวยก็ยังรวยต่อไป อย่าได้แคร์!
 
          บนความเชื่อที่ว่า “เราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน” แต่ “ความเท่าเทียมกัน” ไม่เคยอยู่ตรงนั้น คำถามที่เคยกวนใจ ก็กลับมารบกวนฉันอีก
 
          “อะไรที่ทำให้เราเกิดมาต่างกัน?”
 
          และที่เจ็บปวดกว่านั้นก็คือ "ทำไมคนเราถึงไม่เท่าเทียมกัน?" (สักที!)
...................
(หมายเหตุ ณ ขณะนี้ (II):เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟรอ์ คิ้่ม)