บันเทิง

รักเอย … (I)

รักเอย … (I)

26 ธ.ค. 2554

รักเอย … (I):เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม

          บุคคลและเนื้อหาต่อไปนี้ได้ถูกสมมติขึ้นผูกเป็นเรื่องราวเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่าน ไม่ได้เขียนจากเรื่องของใคร ตัวละครในเรื่องก็ไม่ได้เป็นผู้หนึ่งผู้ใดในสังคม ดังนั้นอย่าถามว่า “ใคร? ” …เดี๋ยวด่า!
 
          ฉันเคยคิดอยู่เสมอว่า “ความรัก” ของพวกผู้ชายมันเกิดขึ้นหลายหนในเวลาเดียวกันได้ด้วยหรือ? ผู้ชายคนหนึ่งคนสามารถรักผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนได้พร้อมๆ กันจริงหรือ?… แต่เท่าที่เคยเห็น (กับตา) เคยได้ยิน (กับหู) ก็ประมาณนั้นแหละ (จะแยกแยะพิสูจน์ว่ามันเป็น ‘ความรักที่แท้จริง’ หรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่มีเวลาน่ะเซ่! ต่อให้มีเวลาก็ไม่อยากโดนคนแปลกหน้ามาถอนหงอก เก็บไว้ทำไฮไลท์ที่ร้านพี่ป๊อก เชลซี ยังจะดีเสียกว่า) ใครจะบอกว่ารักพร้อมกันได้ก็รักกันไป ขอเถียงแค่เรื่องเดียวว่า
 
          “ไม่มีทางรักได้เท่าๆ กันหรอก!”
 
          ใครที่ไหน (วะ) จะทำได้ ขนาดรักลูกก็ยังไม่เท่ากัน…นี่รักเมียนะ ถ้ามันเท่ากันได้ นิ้วมือกับนิ้วตีนก็คงยาวเท่ากันแล้วล่ะ! เอาแค่ “รัก” เฉยๆ ก็ชวนปวดตับจะตายอยู่แล้ว ยังต้องมาหาคำตอบอีกว่า “รักเพราะอะไร?” (คราวนี้ยาวเลย…ไม่น่าเริ่มเลยกู!) รักเพราะเสน่หา…รักเพราะเห็นแก่ความดี…รักเพราะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา…รักเพราะเวลามันยาวนาน…รักเพราะสงสาร…รักเพราะรู้สึกผิด (ที่แอบไปทำผิดมา) รักเพราะเงิน …อื่นๆ อีกมากมาย รักมันช่างวุ่นวายเสียจริงๆ…เอาเถอะจะรักเพราะอะไรก็ช่าง ขอให้แค่รักฉัน ‘คนเดียว’ ก็พอ แต่คำว่า “พอ” มันจะมีจริงในคนกี่คนบนโลกนี้ คนคนนั้นคงหลุดมาจากพระคัมภีร์หรือพระเจ้าสร้างมาอย่างดิบดี เขาคนนั้นถึงดีครบถ้วนตามตำราว่าด้วย “ผัวดีๆ”…ที่เหลือ…ก็อย่างที่เป็นนั่นแหละ เมื่อคำว่า “เมีย” ถูกแยกย่อยในสังคมตามลำดับก่อนหลังและความสำคัญตามกฎหมายทั้งพฤตินัยและนิตินัย จึงแตกย่อยออกได้เป็นเมียหลวง เมียน้อย เมียเก็บ เมียเช่า เล่ายาวไปถึง นางบำเรอ ที่อยู่หางแถว แต่ในทางปฏิบัติน่าจะอยู่หัวแถว (ถ้าวัดจากความถี่…คิดเอาเองโตๆ กันแล้ว)
 
          อันคำว่า “ผัว” นั้นวัดได้จากอะไร (นี่ก็ชวนปวดหัวอีก) มีอะไรกันแล้วเรียกว่า “ผัว” สมัยนี้คงไม่ใช่ สมัยโบราณ “มีอะไรกัน” เขาเรียกว่า “ได้เสีย” โดยยกความเสียหายให้แก่ฝ่ายหญิงโดยนับเอาพรหมจรรย์เป็นที่ตั้งจะเสียหรือเสียให้กับใครไอ้คนนั้นต้องรับผิดชอบ โดยการยกขันหมากมาขอกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายถูกเรียกว่า “ผัว” หรือสามี ฝ่ายหญิงถูกเรียกว่า “เมีย” หรือภรรยาอย่างออกนอกหน้า แต่ในปัจจุบันบางคู่อยู่กันไปเฉยๆ ไม่มีพิธีการแต่งเป็นทางการหรือตีทะเบียนที่อำเภอ ก็อยู่กันไปไม่พอใจก็เลิก บางทีมีลูกหลายคนจนลูกโตแล้วก็เลิกกันเฉยเลยมีให้เห็นกันเกร่อ เอาเป็นว่าอยู่ๆ กันไป ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ้านเดียวกันคนเขาก็รับรู้ว่า อีคู่นี้เขาเป็นผัวเมียกันไปโดยปริยาย ไอ้จะไปถามว่าเป็นอะไรกัน? ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องของชาวบ้านสงสัยอะไรก็ให้เก็บเอาไปสุมหัวนินทาลับหลัง แล้วพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นค่อยมาตบเขาฉาดในก๊วนนินทาว่า
 
          “เห็นมั้ย? ฉันว่าแล้ว”
 
          ถ้านับเอา “การได้เสีย” เป็นที่ตั้ง โดยมีฝ่ายชายเป็นฝ่ายได้ ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเสียก็พอจะอนุมานเอาได้ว่า ใครเป็นผัวใครเป็นเมีย เหมือนในหนังไทยสมัยก่อนที่ผู้ร้ายชอบฉุดนางเอกแล้วพูดว่า
 
          “กูจะยัดเยียดความเป็นผัวให้มัน”
 
          ถ้าพระเอกมาช่วยไม่ทัน นางเอกจะเป็นเมีย อีผู้ร้ายก็จะเป็นผัว ผัวก็แปลว่าผัวก็แค่นั้น “ผัว” ไม่ได้แปลว่า พระเอก คนดี ผู้สูงส่ง ผู้ปกป้อง หรือผู้เสียสละสักหน่อย แต่ “เมีย” กลับแปลว่า ผู้ให้ ผู้เสียสละ ผู้รับใช้ ผู้อภัย และอะไรอีกมากมายขนาดว่าผัวไปหาเมียมาอีกคน เมียดั้งเดิม ยังต้องยอมกระเถิบเลื่อนขั้นไปนั่งบนหิ้งเป็นเมียหลวง ไม่เสียสละ ไม่อภัย ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนกันแล้ว และที่ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อผู้ชายที่เป็นผัว ก็เพราะแค่คำๆ เดียว “รัก” สำหรับสาวโฉด เอ๊ย! สาวโสดอย่างฉัน “แม่งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่า ความรักมันไม่ใช่เรื่องของเหตุผลแต่เป็นเรื่องของใจ เมื่ออยากเอาเหตุผลเป็นที่ตั้งก็เลยต้องอยู่ลำพังอย่างทุกวันนี้…เฮ้อ!
 
          การป้องกันไม่ให้ผู้ชายอันเป็นที่รักถูกแย่งหรือแบ่งปัน ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเมียคงหาวิธีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของเหตุผลและไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อีกด้วยจึงไม่สามารถคิดค้นวัคซีน ยาฉีด ยากิน ยาทา หรือยาเหน็บใดๆ มาแก้โรคเจ้าชู้หลายใจถ้าทำเช่นนั้นได้ ผัวทุกคนคงต้องเข้ารับวัคซีนกันทุกๆ ปี ไปจนกว่าจะตาย เพราะในทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เสื่อมเร็วที่สุดคือ “ตา” ของมนุษย์และสิ่งที่เสื่อมช้าที่สุด คือ อากู๋ (กระจู๋) ของมนุษย์เพศชาย ขนาดว่าบางคนเสื่อมเร็วยังมียาไวอากร้ามาแก้ขัด โบราณก็มียาดองประเภทช้างกระทืบโรง โด่ไม่รู้ล้ม ฯลฯ อือ… ห้มันรู้กันไปว่าขาดไม่ได้จริงๆ ต่อให้บ้านอยู่ใกล้วัดก็เหอะ…ในเมื่อป้องกันความเจ้าชู้ไม่ได้ก็ต้องต่อสู้กันไปเป็นยกๆ จับได้ก็คงต้องทะเลาะ ขู่เลิก ให้อีกฝ่ายไปตัดขาดกับผู้เข้าชิงตำแหน่งเมียคนใหม่หรือไม่ก็ต้องยอมเป็นเมียหลวง แล้วแต่วิธีใครวิธีมัน ความใจแข็งใจอ่อน ความกว้างของใจคนไม่เท่ากัน อันนี้เข้าใจแต่ความลึกของใจคนนี่สิน่ากลัวว่า น่ากลัวตรงที่ “ความริษยาไม่มีวันแก่” จะแก่จนเด็กแถวบ้านเรียกว่า “อาม่า” หรือ “คุณป้า” บทจะหึงก็หึงกันจนวันเข้าโลง ขนาดวันตายของผัว เมียน้อยกับลูกๆ โผล่มาจากไหนไม่รู้ ยังยัวะถึงขนาดเอาขันรดน้ำศพโขกหัวศพผัวโป๊กๆ เป็นที่สมเพศระคนขบขันของผู้ที่มาร่วมงานด้วยความเศร้าโศกและสูญเสีย แต่เมียหลวงบอกว่า “ผัวตายยังไม่เจ็บใจเท่าถูกทรยศ” บางรายที่รู้ว่าผัวมีเมียน้อยก็ไม่ยอมให้ฝั่งเมียน้อยได้ร่ำลาสั่งเสียในลมหายใจสุดท้ายของผู้กำลังจะจากไป ด้วยเหตุผลเดียว “ริษยา!”
 
          “รัก…คือการค้นพบ…เป็นจุดจบ…เป็นทุกสิ่ง…” (พบรัก : แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์)
 
          “ทุกสิ่งนั้น” บางครั้งหมายถึง ความดี แต่บางที ก็หมายถึง…ความร้าย!
 
          โปรดติดตามตอนต่อไป
................
(หมายเหตุ รักเอย … (I):เล่นหูเล่นตา โดย... เจนนิเฟอร์ คิ้ม)