
เรื่องเล่าเคล้าดนตรี 25 ปี "พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ"
ลงตัวเสียทีสำหรับคอนเสิร์ต "เอ็กคลูซีฟ อะคูสติก คอนเสิร์ต ไลฟ์ อิน แบงค็อก" ของ "น้าหมู" พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ หลังจากต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนมาลงตัวในวันพุธที่ 13 และพฤหัสบดี 14 พฤษภาคม 2552 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
“ในคอนเสิร์ตจะไม่ใช่ดนตรีอะคูสติกทั้งหมด มันเป็นไปตามสไตล์เพลงที่เราเคยทำ ยึดต้นแบบมาเป็นหลัก เครื่องต้องครบ เพลงไหนมีเครื่องเป่าก็ต้องมี จะพยายามให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด เล่นตามที่เราเคยทำมาครั้งแรก อารมณ์แบบร้องเพลงให้เพื่อนฟังมันก็น่าจะตรงที่สุด ยังมีเพลงที่เราเขียนมา หลายเพลงที่ไม่เคยเอามาเล่นก็มี เลือกมา 47 เพลงตั้งแต่อัลบั้มแรก ”ห้วยแถลง” มาถึงชุดสุดท้าย
เวทีนี้จะมีผมคนเดียวเลย ไม่ต้องมีแขกรับเชิญ เพลงก็เยอะด้วย ไม่ได้เล่นมานานแล้ว 25 ปี ไม่คิดว่าตัวเองจะรอดมาแบบนี้ อยากทำอะไรที่มันง่ายๆ ได้คุย ได้เห็นหน้า ยิ้มให้กันมีกำลังใจร้องเพลง ง่ายๆ ซื่อๆ ตรงๆ“ น้าหมู พงษ์เทพ ในวัย 56 กับร่างกายที่ดูแข็งแรง แจงแนวคิดคอนเสิร์ตหนนี้ให้ฟัง พร้อมยืนยันด้วยน้ำเสียงเหน่อแบบโคราช ว่าเป็นตายร้ายดียังไงหนนี้จะไม่เลื่อนอีกแล้ว
“มันเลื่อนมา 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2551 มีเหตุการณ์ทางการเมือง เพื่อนเราส่วนใหญ่ก็ไปตรงนั้นก่อน (หัวเราะ) มีต่อว่าเราอีก ว่ากำลังเดินขบวนมันๆ ให้เราอย่าเพิ่งจัด ผมว่าบรรยากาศมันคงไม่น่าจัด ก็เลยเลื่อนมา ครั้งนี้เป็นตายร้ายดีก็ไม่เลื่อน เล่นแบบตามใจตัวเองให้มากที่สุด เล่นเพลงแบบที่ไม่ค่อยได้เล่น จะเป็นแบบคุยไป เล่นไป น่าจะถึง 5 ชั่วโมง“
เมื่อถามว่าครบรอบ 25 ปีทั้งที ทำไมไม่จัดคอนเสิร์ตให้ใหญ่โตมากกว่านี้ เหมือนคนอื่นๆ ที่จัด นักเพลงเพื่อชีวิตคนดังพูดสวนขึ้นแบบติดตลกว่า
“ผมอยากเล่นเล็กๆ ดนตรีไม่ต้องดัง อ่านบทกวีแบบไม่ต้องมีเสียงอะไรมาช่วย อยากโต้ตอบกับคนดู ที่สำคัญที่สุดคือต้องการบอกว่าเราทำงานมา 25 ปีแล้ว ต่อจากนี้อย่าไปหวังอะไรมาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีขึ้นมีลง ดังดับ เป็นวัฏจักรของชีวิต ผมมาได้ขนาดนี้สำหรับเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยมาขอกางเกงยีนเพื่อน รองเท้าคู่หนึ่ง เดินมาจากบ้านนอกมาถึงตรงนี้ ดีใจ สบายๆ แล้ว“
ย้อนถามถึงการเลือกเพลงในคอนเสิร์ตครั้งนี้ใช้สิ่งใดเป็นตัวกำหนด จะซ้ำรอยคอนเสิร์ตครั้งผ่านๆ มาหรือไม่ น้าหมูกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า
“เลือกจากเพลงที่ผมชอบมากส่วนหนึ่ง และเพลงที่เพื่อนชอบส่วนหนึ่ง เป็นเพลงที่สนุก ที่เล่นตามที่ต่างๆ เพลงใหม่ก็มีแต่อาจจะเล่นแบบง่ายๆ ไม่ได้ทำคอร์ดขึ้นมา ยังไม่ได้ตั้งชื่อเป็นทางการ เรียกคร่าวๆ ชื่อ ”อย่าโกรธความมืด” บางครั้งภาวะที่มันมืดมิดในปัญญาในใจเรา ถ้าเราโกรธก็ยิ่งทำให้เรามืดไปอีก บางครั้งเทียนเล่มเดียวถ้าไม่คิดว่ามันเป็นเทียนมันก็สว่างในใจเราได้ ผมผ่านมา 25 ปีแล้ว ไม่ต้องเรียกร้องอะไรแล้ว ชีวิตนักร้อง แก่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหนื่อยล้า อาจมีอารมณ์ที่เราควบคุมได้มากกว่าสมัยก่อน แววตาอาจโรยๆไปบ้าง ผมอาจจะสีดอกเลานิดๆ“
คุยเรื่องคอนเสิร์ตกันไปพอหอมปากหอมคอ ก็เลยมาว่ากันถึงงานเพลงชุดใหม่กันบ้างเพราะถูกถามมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะได้ฟัง น้าหมู หัวเราะลงคอก่อนตอบว่า
“ผมทำบันทึกการแสดงสดไว้ ที่ผมคิดคือผมจะเอาเพลงทุกอัลบั้มที่เคยทำเป็นมาสเตอร์ต้นฉบับตั้งแต่ออกมาจากป่ามาทำใหม่ อาจจะบอกเพื่อนๆ ว่าใครอยากได้ชุดไหนก็โทรมา ได้ครบ 100-200 แผ่นก็อาจจะทำออกมา เพลงใหม่หลังจากนี้ผมเพียรทำไว้ 6 เพลงแล้ว จริงๆ เขียนไว้เยอะแต่คัดได้แค่ 6 คิดว่าจะขายตามเว็บไซต์ แบบว่าฉันมีเพลงอยู่ 6 เพลง โอนเงินมาเดี๋ยวจะโหลดเพลงให้ มีภาพถ่ายในบ้านมุมที่เรารักมาเป็นปก ไม่คิดว่าจะเข้าสังกัดค่าย”
เมื่อถามถึงช่วงเวลาที่ห่างหายไป ใช้เวลาทำกิจกรรมอะไรบ้าง ทั้งเรื่องสังคมและการเมือง กวีศรีชาวไร่ บอกว่า
“ผมไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่สูบบุหรี่ เขียนเพลงรดน้ำต้นไม้ มีโครงการว่าปี 2560 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ อาจจะเอาที่ที่บ้านเป็นสถานที่แสดงงาน หรือรับเพื่อนฝูง มีสตูดิโอเล็กๆ บ้านผมไม่มีแอร์ ไม่มีฝาบ้าน ไม่มีหน้าต่าง กางมุ้งนอนก่อไฟไล่แมลง แต่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ เพียงแค่ผมหลุดจากตรงนั้นแล้ว ผมไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องการเมือง รู้สึกว่าการเมืองยุคนี้มันไม่ใสเหมือนตอนยุคตุลา มันไม่ตอบสนองอารมณ์ตัวเองที่จะเข้าไปร่วม เห็นเพื่อนๆ ไปอยู่คนละฝ่ายกัน ซึ่งสิ่งหนึ่งคือไม่ควรที่จะโกรธกัน ควรเป็นเพื่อนกันต่อไป ผมอยากทำเรื่องการศึกษาให้เด็ก“ น้าหมูกล่าวทิ้งท้ายการสนทนาไว้อย่างน่าฟัง