
น้ำลงเดือนยี่
น้ำลงเดือนยี่:มองผ่านเลนส์คม โดย... นคร ศรีเพชร
ถ้านับเดือนทางจันทรคติ วันศุกร์นี้ก็ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะแล้ว นึกถึงเพลง ”น้ำลงเดือนยี่” ขับร้องโดย รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ที่นักจัดรายการวิทยุข่าวผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตว่า เพลงนี้ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ท่าน แต่งไว้บรรยายภาพของฤดูตามธรรมชาติของไทยตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วว่า
“ย่างเดือนสิบเอ็ดน้ำเริ่มไหลนอง
พอเดือนสิบสองน้ำในคลองก็เริ่มจะทรง
ครั้นถึงเดือนยี่น้ำก็รี่ไหลลง ไหลลง
ตกเดือนสาม แล้วน้ำก็คงแห้งขอดตลอดลำคลอง”
แต่ปัจจุบันนี้นอกจากธรรมชาติแปรปรวนแล้วและผู้มีหน้าที่จัดการบริหารน้ำ ทำให้ทุกอย่างมันเคลื่อนกันไปหมด
ถ้าเป็นไปอย่างในเพลงในอดีต เดือน 3 ก็ราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ ก็จะเริ่มเข้าสู่หน้าแล้ง แต่ก็แปลกที่เพิ่งจะเดือนอ้ายก็มีข่าวชาวนาบางพื้นที่ออกมาโวยว่าไม่มีน้ำทำนา แต่ขณะเดียวกัน ในหลายท้องที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลน้ำก็ยังทรง ลดทีละคืบ ต่างกับตอนมา มาทีละศอก
ลองมาสังเกตดูก็แล้วกันว่า ในเดือนอีก 2-3 เดือนข้างหน้า สถานการณ์น้ำจะเป็นอย่างในเพลงท่อนแยกของเพลงหรือไม่ที่ว่า
“....เพราะว่าเดือนยี่ได้ข่าวน้อง มีแฟนใหม่
โธ่เอ๋ยน้ำใจหนอใจ สาวชาวบ้านนา
ช่างเป็นไปได้เหมือนสายน้ำ เจ้าพระยา
พอถึงเดือนสี่ เดือนห้าน้ำเจ้าพระยา ก็แห้งลง...”
ครั้นถึงท่อนนี้ ก็นึกถึงอีกเพลงที่ศิลปินแห่งชาติ ครูชลธี ธารทอง แต่งให้สายัณห์ สัญญา ร้องในชื่อเพลง ”จำปาลืมต้น” ที่ขึ้นต้นว่า
“เดือนห้าหน้าแล้ง ลมแรงพัดช่อมะม่วง
ไผ่ล้อลมเหมือนคนล่อลวง หัวใจข้าลวงเหมือนโดนมีดหั่น...”
ท่อนที่นักแสดงตลกนำมาล้อเลียนกันจนท้องคัดท้องแข็ง คือ ท่อนที่สองของเพลงที่ว่า
“เดือนห้าผ่านไป นี่มันก็ไกล้เดือนหก
อีกไม่ช้ำฝนคงจะตก รดพื้นผืนนาข้าวกล้าชุ่มฉ่ำ..”
มีการนำมาอำกันว่า เดือนห้าผ่านไปนี่มัน ก็ใกล้เดือนหก แสดงว่า ต้องมีเดือนอะไรมาคั่นกลาง ว่ากันเข้าไปนั่น
เรื่องของข้าวไทย เพิ่งจะได้ยินข่าวร้ายว่า โดนประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาสายพันธุ์ได้เท่าเทียมบ้านเราและตัดราคาส่งออกไปเรียบร้อย ทำให้เราสูญเสียตลาดไปจำนวนไม่น้อย ยิ่งมาเจอกับมหันตภัยน้ำท่วม ทำให้เราต้องถอยกลังกลับไปหลายก้าว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกหลายอย่างก็เป็นผลไม้พันธุ์ไทยแท้ ที่นอกจากจะถูกรุกรานโดยหมู่บ้านจัดสรรตามชานเมืองและปริมณฑลแล้ว ปีนี้ยืนตายนึ่งไปหลายสวน ทั้งทุเรียนดีๆ จากเมืองนนท์และส้มโอนครชัยศรี
ถึงเวลาที่เราจะมาร่วมมือกันพลิกฟื้นบ้านเมืองกันอีกครั้ง และไม่ใช่ทำแต่เพียงเมืองหลวงเท่านั้น คนทั้งประเทศต้องช่วยกันเยียวยา
นักการเมืองก็ควรนำวาระเหล่านี้มาเป็นวาระเร่งด่วนไม่ใช่ฉวยโอกาสนำเรื่องซ่อนเร้นที่ไม่จำเป็นต่อปากท้องมาทำก่อนเรื่องที่ควรจะทำก่อนหลัง
น้ำท่วมครั้งนี้ คนไทยนอกจากได้รับบทเรียนจากธรรมชาติแล้ว ก็ได้รู้จักก้นบึ้งลึกๆ ของพรรคการเมืองและนักการเมืองกันได้เป็นอย่างดี
อย่าปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่เขาค่อนแคะว่า ”คนไทยลืมง่าย” ก็แล้วกัน
.............
(หมายเหตุ : น้ำลงเดือนยี่:มองผ่านเลนส์คม โดย... นคร ศรีเพชร)