บันเทิง

น้องนางหางเครื่อง
ขายแรงงานที่ต้องโชว์เรือนร่าง

น้องนางหางเครื่อง ขายแรงงานที่ต้องโชว์เรือนร่าง

01 พ.ค. 2552

ขณะที่ผู้ใช้แรงงานอาชีพอื่นๆ ได้หยุดกันในวันแรงงานแห่งชาติวันนี้แต่ " แดนเซอร์ "หรือ "หางเครื่อง" อีกหนึ่งแรงงานอาชีพที่ยังคงต้องทำงานเหนื่อย เพื่อมอบความสุขให้แก่เพื่อนๆ แรงงานได้มีความสุขในวันนี้

  พวกเธอต้องวิ่งรอกเดินสายแสดงตามสถานที่ต่างๆ เนื่องในโอกาสวันแรงงาน และน้อยคนนักที่จะสนใจใคร่รู้ความเป็นมาของเธอเหล่านั้น บางคนมองเพียงแค่เหมือนดอกไม้ประดับให้นักร้องบนเวทีเท่านั้น

  "แนน" สุดารัตน์ ชูชาติไทย เด็กสาวอายุย่าง 24  ปี แดนเซอร์มากประสบการณ์ จนเธอและเพื่อนๆ ถูกวงการลุกทุ่งขนานนามว่า เป็นนักเต้น “รุ่นฟ้าผ่าไม่ตาย” เล่าถึงความเป็นมาในชีวิตและอาชีพของเธอ

  “หนูเป็นลูกสาว พ่อ ภูพาน เพชรปฐมพร มีพี่น้อง 3 คน เป็นคนสุดท้อง คนโตก็เต้นแดนเซอร์ ส่วนพี่ชายเป็นดีเจวิทยุ หนูเติบโตมากับวงดนตรีอยู่แล้ว  เริ่มเต้นตั้งแต่อายุ 13 ปี เต้นไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย พี่ๆ ที่เต้นด้วยกันเป็นคนสอน ขึ้นเวทีครั้งแรกเต้นให้วงสตริงก่อน หลังจากนั้นมาเต้นลูกทุ่งยุค รุ่ง สุริยา กำลังดัง หรือนักร้องเก่าๆ อย่างแม่ผ่องศรีก็เคยเต้นให้ ตอนนั้นเป็นวงทไวไลท์ไทยลูกทุ่ง  จนเรียนจบ ม.6  แล้วไม่คิดเรียนต่อเพราะเหนื่อย คิดหาเงินช่วยครอบครัว”

 อาชีพแดนเซอร์ ต้องนุ่งชุดที่น้อยชิ้น หรือโชว์บางส่วน คิดอย่างไรบ้าง

  “ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนชอบแต่งตัว เห็นแล้วอยากใส่อยากเต้นแบบพี่ๆ เขา แรกๆ ก็อายนิดนึง ตอนที่ยังเด็กต้องเสริมฟองน้ำที่หน้าอกบ้าง เรื่องความอายเนี่ย พอขึ้นเวทีแล้วก็ต้องมีสปิริตของแดนเซอร์ ไม่งั้นเราเต้นไม่ได้ ได้ยินเสียงเพลงก็ไม่อายละ เต้นตามพี่ๆ เขาได้  ถ้าเราเต้นอ่อยๆ แบบขี้เกียจ แฟนเพลงเขาจะว่าเราถูกบังคับมาเต้น  ต้องเต้นให้คนดูมีความสุข ใช้แรงมากเหนื่อย แต่ได้เงินแล้วหายเหนื่อย งานหนึ่งๆ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่ไม่เต้นตลอด เขาอาจมีช่วงพัก ช่วงพิธีการ  บางงานจ้างเต้นเพลงเดียวก็มี”

 สิ่งที่เหนือยกว่าการเต้นคือการเดินทาง และการกินอยู่ แต่ปัจจุบันดีขึ้นกว่าก่อนมาก  แต่ความเหนื่อยทั้งหลาย ไม่ทำให้ร่างกายซูบผอม กลับทำให้เธอส่วนใหญ่อวบอ้วน เพราะพอเต้นเสร็จก็กิน เพราะใช้พลังเยอะ เสียพลังอีกก็กินอีก เธอเล่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะเล่าต่อถึงชีวิตในขณะเดินทาง และรายได้ในแต่ละเดือน

  “เหนื่อยตรงเดินทาง ต้องนั่งรถไกล แต่ยุคนี้ใช้รถตู้ แต่หนูก็ทันยุครถบัส ตอนที่เต้นให้วงพี่ไมค์ ภิรมย์พร  ใช้รถตู้จะเป็นส่วนตัวกว่าและนั่งกับทีมเดียวกัน ถ้าเป็นรถบัสจะไปรวมกับทีมอื่นๆ ทำอะไรก็เกรงใจเขา  เวลาไปทำงานจะได้พักโรงแรม เรื่องอาบน้ำก็ไม่ต้องห่วง วันที่ไม่ได้ทำงานก็พักที่สำนักงาน ซอยบุปผาสวรรค์ รายได้เลี้ยงตัวอยู่ได้ รับเงินเป็นรายวัน กินอยู่ฟรี เดือนหนึ่งก็กว่าหมื่นขึ้นไป ตอนนี้มีเพื่อนๆ ในทีมสิบกว่าคน และมีเด็กนักเรียนอย่างน้องๆวิทยาลัยนาฏศิลป์มาสมัครเต้นกันเยอะ”

 เกี่ยวกับการที่คนส่วนใหญ่ เรียกพวกเธอว่า หางเครื่อง  หรือ แดนเซอร์ เธอกล่าวตอบว่า
  “ก็เหมือนกัน ไม่รู้สึกแตกต่าง สมัยก่อนเขาเรียก หางเครื่อง   หนูเต้นมา 10 ปี คิดว่าจะเต้นจนกว่าแก่เขาไม่จ้าง ก็กำลังหาอาชีพเสริม คิดไว้ว่าอยากเปิดร้านเบเกอรี่ แต่ยังไม่ได้ไปเรียนสักที   ทำงานก่อนยังไม่คิดเรื่องนั้น”

 เป็นธรรมดาที่อาชีพเต้นกินรำกินต้องถูกคนบางกลุ่มเหยียดหยาม และลวนลาม น้องแนกล่าวทิ้งท้ายไว้น่าคิด

  “ก็มีโดนลวนลามบ้าง ไปเต้นงานกินเลี้ยง ป๋าๆ ก็ถามว่า เอาไปข้างนอก คิดราคาเท่าไหร่ เราก็บอกว่า หนูไม่ใช่ หนูมาทำงาน  เวลาแขกเรียกไปนั่งก็จะไม่ไป ส่วนที่บางทีมีคนมาแอบดูตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังเวที ก็รู้สึกแย่ แต่คิดว่า เขามองแล้วเอาไปไม่ได้ ดีที่ยุคนี้เราใส่บอดี้สูท มันจะไม่โป๊  อย่างท่าเต้นบางท่าเต้น เด้งๆ ที่ดูน่าเกลียด หนูคิดว่า ถ้าทำให้เขามีความสุขเราก็ทำ แต่ถ้าเขาไม่ลวนลามก็ดี แต่จะออกเต้นในแนวออกทะลึ่ง ออกขำๆ มากกว่า

  อยากให้ทุกคนมองว่า เราไม่ได้ขายตัว เราขายความสามารถ ถ้าไม่มีเรา นักร้องไม่มีสีสัน เราทำให้คนมีความสุขได้เหมือนกัน อย่ามองว่าต่ำ หรืออาชีพยั่วยุ เป็นงานสุจริตอย่างหนึ่ง