
ทัศนะต่อ7เล่มสุดท้ายซีไรต์
เรื่องของแดดจากฟากฟ้ายามวิกาล ที่สาดส่องกระจกแห่งความลวง ตลอดชีวิต (ทัศนะต่อ 7 เล่มสุดท้ายซีไรต์):แขกรับเชิญ โดย... จรูญพร ปรปักษ์ประลัย
ในห้วงงานมหกรรมหนังสือที่จะมีขึ้นอีกครั้ง ผนวกกับเพิ่งจะมีการประกาศผลรางวัลซีไรต์ไปหมาดๆ จึงอยากให้ลองฟังทัศนะของนักวิจารณ์วรรณกรรมหนุ่ม ดีกรีเจ้าของรางวัลกองทุนหม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ 2 สมัย ที่จะมาชักชวนให้อ่านเล่มอื่นๆ นอกเหนือจากเล่มที่ถูกประทับตราเท่านั้น
จะน่าสนใจอย่างไร ตามมุมคิดของผู้ชายคนนี้กันเลยดีกว่า...
หลังจากขับเคี่ยวกันมาหลายเดือน ในที่สุดผลซีไรต์ปีนี้ก็ประกาศให้ “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ” ของ จเด็จ กำจรเดช ชนะอีก 6 เล่มที่เข้ารอบมาด้วยกัน ได้แก่ “เรื่องของเรื่อง” ของ พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์, “24 เรื่องสั้นของฟ้า” ของ ฟ้า พูลวรลักษณ์, “นิมิตต์วิกาล” ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์, “บันไดกระจก” ของ วัฒน์ ยวงแก้ว, “กระดูกของความลวง” ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ และ “ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต” ของ จักรพันธุ์ กังวาฬ
ในโลกแห่งการแข่งขัน มักไม่มีใครจำคนที่ได้ที่ 2 ที่ 3 หรือที่ไล่ตามมาอีกเป็นพรวนได้ ในการประกวดวรรณกรรมระดับชาติอย่างซีไรต์ก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศหนังสือที่ได้รับรางวัล หนังสืออีก 6 เล่มก็แทบจะหมดคุณค่า เช่นเดียวกับหนังสืออีกเจ็ดสิบกว่าเล่มที่ตกรอบไปก่อนหน้านั้น ที่ไม่เหลือสถานภาพใดๆ กลายเป็นแค่อากาศธาตุที่ล่องลอย เป็นเสมือนวิญญาณหนังสือที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกต่อไป
แม้จะพูดกันบ่อยๆ ว่าซีไรต์ก็เป็นแค่รางวัลหนึ่ง การตัดสินขึ้นอยู่กับทรรศนะของกรรมการกลุ่มเดียว แต่สุดท้ายที่รู้ๆ กันคือ ทุกครั้งหลังการประกาศผล แทบไม่มีใครสนใจหนังสือเล่มอื่น ทุกคนจดจ่ออยู่ที่หนังสือเพียงเล่มเดียว นั่นก็คือเล่มที่ได้รับรางวัล
จริงๆ แล้ว มันต่างชั้นกันขนาดนั้นเชียวหรือ?
คำตอบก็คือ ไม่ขนาดนั้นหรอก หลังจากได้อ่านหนังสือที่เข้ารอบทั้ง 7 เล่ม ผมพบว่า ทั้งหมดมีจุดเด่นจุดด้อยในตัวเอง และมีความคล้ายคลึงกันหลายประการในฐานะวรรณกรรมร่วมยุคร่วมสมัย จนแทบจะกล่าวได้ว่า “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ” เป็นแค่ตัวแทนของเรื่องสั้นไทยในปี พ.ศ.นี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า นี่เป็นหนังสือที่ไร้ที่ติ
ลักษณะร่วมประการหนึ่งของรวมเรื่องสั้นทั้ง 7 เล่ม อยู่ที่การสะท้อนภาพชีวิตที่ถูกร้อยรัดด้วยปมปัญหา ตัวละครของ จักรพันธุ์ กังวาฬ ใน “ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต” หลายคนดำดิ่งสู่ความดำมืดของชีวิต ตัวละครของ พิชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ ใน “เรื่องของเรื่อง” ก็เปรอะเปื้อนด้วยบาปไม่แพ้กัน ตัวละครของ วัฒน์ ยวงแก้ว ใน “บันไดกระจก” ก็มีหลายคนที่ก้าวลงสู่จุดต่ำสุด ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครของ จเด็จ กำจรเดชใน “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ” ที่กำลังอยู่ในภาวะสับสน ต้องต่อสู้ระหว่างสำนึกดีและกิเลสตัญหาในใจตัวเอง
ตัวละครของพวกเขาล้วนสะท้อนถึงยุคสมัยแห่งความสับสน ทั้งหมดรู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจต้านทานกระแสสังคมที่สาดซัดอยู่ทุกเสี้ยววินาทีได้ ที่แย่กว่านั้นก็คือกิเลสที่โลดทะยานอยู่ในจิตใจ ที่ทำให้พวกเขาไม่อาจก้าวพ้นจากโลกอันดำมืดไปได้
“กระดูกของความลวง” ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เป็นอีกเล่มหนึ่งที่สะท้อนจุดนี้อย่างชัดเจน ผ่านตัวละครที่เตลิดไปตามกิเลสในรูปต่างๆ บ้างก็หลงใหลในอำนาจ บ้างก็คลั่งไคล้เงินตรา บ้างก็หลงไปตามค่านิยมแห่งยุคสมัย จนลืมรากเหง้าอันแท้จริงไปจนหมดสิ้น
เช่นเดียวกับหลายเรื่องใน “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ” ที่แสดงให้เห็นถึงผู้คนที่แพ้ใจตัวเอง พวกเขาเคยเป็นคนหนุ่มที่มีอุดมการทางสังคม แต่เมื่อเติบโตขึ้น ความคิด ความเชื่อ และความฝันก็ค่อยๆ เลือนหาย หลายคนก้าวสู่โลกธุรกิจ มีชีวิตที่ฟุ้งไปด้วยความสุขทางกาย และมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แม้บางครั้งพวกเขายังร้องเพลงเพื่อชีวิต แต่มันเป็นขับร้องเพื่อความสนุกสนาน มากกว่าที่จะคิดถึงสาระที่อยู่ในบทเพลงเหล่านั้น
ใช่! พวกเขาอาจเป็นผู้ชนะ หากมองตามมาตรฐานความสำเร็จที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ แต่ในฐานะคนที่เคยมีอุดมการ ทว่ากลับโยนมันทิ้งไปอย่างไม่ไยดี พวกเขาจะเป็นอะไรได้นอกจากคนแพ้
หากเรื่องสั้นทั้งหมดเป็นสี ส่วนใหญ่ก็ค่อนไปทางสีเทาเข้มใกล้ดำ มากกว่าสีสว่างสดใส ยกเว้นก็แต่ “24 เรื่องสั้นของฟ้า” เท่านั้น ที่ไม่ได้สะท้อนภาพผู้คนดำมืดในโลกอันดำมืด ตัวละครของ ฟ้า พูลวรลักษณ์ ไม่ได้มีสีขาวหรือดำเด่นชัด หากแต่มากมายไปด้วยสีสัน ทั้งนี้ก็เพราะสิ่งที่เขาชี้ให้เราได้เห็นก็คือ มนุษย์ที่ล้วนแตกต่าง มีลักษณะเฉพาะของแต่ละคน พวกเขาไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แบบไหนคือแบบที่ถูกต้อง เพราะความเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้มีรูปแบบเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกันในหลายเล่ม คือการเล่นกับเรื่องซ้อนเรื่อง ใน “เรื่องของเรื่อง” “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะจิบกาแฟ” และ “ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต” มีหลายเรื่องทีเดียว ที่มีลีลาการเขียนแบบเมตาฟิกชั่น หรือเรื่องซ้อนเรื่อง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ถูกบิดเบือนไปในเรื่องเล่า โดยเฉพาะเล่มหลังที่ จักรพันธุ์ กังวาฬ ได้นำประสบการณ์การเป็นคนเขียนสารคดี มาถ่ายทอดถึงเบื้องหลังของการสร้างงาน ทั้งในรูปแบบสารคดีและบันเทิงคดีว่า ข้อเท็จจริงต่างๆ จะถูกนักเขียนนำมาปรุงใหม่ โดยเลือกสรรเฉพาะจุดที่ขายได้ และใส่สีตีไข่ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น มันจึงไม่ใช่ความจริงที่แท้อีกต่อไป
ในเล่มอื่นๆ ก็มีบางเรื่องที่เล่นกับการเล่าเรื่องในลักษณะนี้ เช่น “น้ำตากวาง” ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ ที่พูดถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นสดๆ ผ่านจินตนาการของผู้ที่เข้าชมหนังกวางโบราณในพิพิธภัณฑ์ และ “ช่องว่าง” ของ วัฒน์ ยวงแก้ว ซึ่งพูดถึงตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นในไซเปอร์สเปซ ซึ่งแตกต่างจากตัวตนที่แท้จริงของคนๆ นั้นอย่างสิ้นเชิง
เรื่องของความจริงและความลวง เป็นประเด็นที่นักเขียนสนใจกันมานาน จนถึงวันนี้ ประเด็นนี้ก็ยังไม่ลดน้อยลง ดังจะเห็นได้จากเรื่องสั้นอย่าง “เรื่องของเขา” “เรื่องของกู” และ “สายลมแห่งความคิด” ของ พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์ ที่สะท้อนถึงการซ้อนทับกันระหว่างความจริงและความลวง จนเส้นแบ่งเลือนหายไป แม้กระทั่งคนที่สร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็ยังหลงคิดว่าเรื่องที่ตัวเองสร้างขึ้นนั้น อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้
นอกจากในส่วนของเนื้อหาแล้ว การนำเสนอของเรื่องสั้นทั้ง 7 เล่ม ก็มีบางอย่างที่ใกล้เคียงกันอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นคือการเขียนเรื่องสั้นที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หลายเรื่องใช้การตัดสลับแบบภาพยนตร์ยุคใหม่ ตัดไปตัดมา ระหว่างเหตุการณ์ในช่วงเวลาต่างๆ บ้างก็ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดที่เชื่อมโยง เพื่อนำไปสู่ประเด็นความคิดที่นักเขียนต้องการนำเสนอ
ความซับซ้อนยังมีผลต่อความยาว ดังจะเห็นได้จากหลายเรื่องใน “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะจิบกาแฟ” “เรื่องของเรื่อง” “ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต” “บันไดกระจก” และ “นิมิตต์วิกาล” ที่กว่าจะอ่านจบก็เล่นเอาเหนื่อย ดูเหมือนกฎว่าด้วยความกระชับ รวบรัดตัดตอน ให้เรื่องสั้นมีขนาดพอเหมาะ ไม่ยาวยืดจนเกินไปนั้น ได้ถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง จนอาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นรูปลักษณ์หนึ่งของเรื่องสั้นยุคนี้ ที่นักเขียนไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปว่า เรื่องสั้นต้องสั้นยาวแค่ไหน แต่สนใจที่จะนำเสนอแง่มุมต่างๆ อย่างครบถ้วนและสละสลวยที่สุดมากกว่า
วรรณกรรมเป็นผลพวงของยุคสมัย ยุคสมัยได้สร้างนักเขียนขึ้นมา ขณะเดียวกันผลงานที่พวกเขาสร้าง ก็ได้สะท้อนถึงยุคสมัยในแง่มุมต่างๆ สำหรับผม นี่เป็นปีที่ผมอ่านหนังสือซีไรต์อย่างมีความสุข เพราะทุกเล่มล้วนมีแง่มุมให้พูดถึง และมีการสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนักเขียนแต่ละคน
สำหรับใครที่คิดว่า หนังสือดีปีนี้มีเล่มเดียว ขอท้าให้ลองหาเล่มอื่นๆ มาอ่านดู แล้วคุณจะรู้ว่า คุณได้พลาดอะไรไปบ้างกับความคิดแบบนั้น