บันเทิง

ทิศทาง-แนวโน้มหนังไทยในอนาคต

ทิศทาง-แนวโน้มหนังไทยในอนาคต

15 ก.ย. 2554

ทิศทาง-แนวโน้มหนังไทยในอนาคต:สกู๊ปบันเทิง

           "คุณชอบดูหนังแนวไหน?" นี่อาจเป็นคำถามง่ายๆ ที่มีคำตอบหลากหลาย เพราะแต่ละคนนอกจากที่จะมีหน้าตาแตกต่างกันแล้ว การศึกษา วัฒนธรรม หรือลักษณะนิสัยหรือค่านิยมก็แตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภาพยนตร์จะทำออกมาหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์รัก ตลก คอมเมดี้ ดราม่า แอ็กชั่นหรือแม้แต่แฟนตาซี  ซึ่งในแต่ละแนวก็มีกลุ่มชนที่ชื่นชอบ แวะเวียนไปดูผลัดเปลี่ยน
 
          แม้ในปัจจุบันหนังไทยอาจจะได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นในตลาดเอเชีย ซึ่งตลาดหนังหลักๆ ของบ้านเรา ยังคงเป็นประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และจีน ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมจากต่างประเทศนอกจากแนวแอ็กชั่นที่มาแรงแล้ว ขณะนี้เริ่มมีแนวอื่นๆ ไปฉายบ้าง ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า...มาหานะเธอ หนีตามกาลิเลโอ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก หากดูโดยรวมน่าจะไปด้วยดี
 
          หากหันมามองที่ตลาดบ้านตัวเอง แม้ในปีหนึ่งๆ จะมีหนังไทยใหม่ๆ เข้าฉาย ที่โรงภาพยนตร์มากถึง 50 เรื่อง แต่ตลาดอุตสาหกรรมหนังในประเทศกลับค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทั้งเรื่องการลงทุนก็ดี แม้หนังจะเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์เยอะ แต่หนังกว่าครึ่งหนึ่ง ที่ถูกสร้างกลับขาดทุน เราจะเห็นได้จากค่ายหนังบางค่ายเริ่มหาย ผู้สร้างหนังเริ่มหาย หนังอินดี้ หนังลงทุนน้อยมากขึ้น แถมปัญหาที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอก็คือ จำนวนผู้กำกับที่มีคุณภาพของเรา ยังคงมีอยู่อย่างค่อนข้างจำกัด หนังแอ็กชั่นไทยที่มีคุณภาพระดับสากล ก็มีเพียงกลุ่มที่เป็นผลผลิตจากพันนา ฤทธิไกร หนังผีก็มาจากกลุ่มผู้กำกับรุ่นใหม่ไม่กี่คน หากเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นแล้ว ก็ถือว่ายังน้อยมาก
 
          ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นใหม่ มองว่าปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมหนังไทยบ้านเรายังคงแย่อยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังรวมถึงความมั่นคงของบ้านเรายังไม่เสถียร และยังมีเรื่องภัยพิบัติต่างๆ
 
          "แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการละเมิดลิขสิทธิ์ ทุกวันนี้เรายังเห็นดีวีดีเถื่อนเกลื่อนตามที่ต่างๆ ซึ่งผมมองเป็นปัญหาใหญ่เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หนังละเมิดลิขสิทธิ์กินมูลค่าตลาดไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจุบันผมมองว่าตลาดด้านนี้ อาจจะหายไปมากขึ้น เพราะไม่มีการปราบให้หมดและไม่เห็นการปราบอย่างจริงจัง นับตั้งแต่ปี 2000 หนังเรื่อง "นางนาก" นับเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ขายต่างประเทศได้ และตั้งแต่นั้นมาหนังไทยก็ขายได้เรื่อยๆ นับว่าเป็นจุดเริ่มที่ดี ที่ทำให้ต่างชาติได้รู้จักหนังเรามากขึ้น เมื่อก่อนหนังที่เกี่ยวกับมวยไทยจะขายดี แต่ปัจจุบันนี้หนังแนวอื่นๆ ก็ขายได้ไม่ว่าจะเป็นหนังผี หนังรัก หนังวัยรุ่นก็ขายได้ แนวที่ขายดีในตอนนี้ ผมคิดว่าตลาดต่างประเทศยังสนใจภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นอยู่ แต่ขอให้ใหม่เรียกว่าเขายังยอมรับอยู่ เพราะหนังแอ็กชั่นสไตล์บ้านเรามีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่ถ้าเราทำหนังออกมา แต่ไม่มีอะไรใหม่ๆ ผมว่าอีกไม่นานตลาดก็จะหายไป" ปรัชญากล่าว
 
          ผู้กำกับฯ ไฟแรงยังกล่าวถึงภาพยนตร์ ที่ได้ฉายที่โรงในอเมริกา ในข่าวอาจดูยิ่งใหญ่ แต่ความเป็นจริง หนังส่วนใหญ่จะได้ฉายไม่เกิน 10 โรง และจำกัดฉายให้ดูในวงเล็กๆ เท่านั้น หากเรื่องไหนที่เขาสนใจจริงๆ ก็จะซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมก อย่างเรื่อง "ชัตเตอร์" "13 เกมสยอง" "คนไฟบิน" ฯลฯ เรียกว่าวัฒนธรรมการซื้อหนังไปรีเมกนั้น เป็นวัฒนธรรมที่ฮอลลีวู้ดทำกับหลายๆ ประเทศ ซึ่งทำมานานแล้ว แต่โชคดีที่ "องค์บาก" และ "ต้มยำกุ้ง" มันรีเมกไม่ได้ คือเขาเลียนแบบไม่ได้
 
          "จริงๆ หนังไทยเราก็ขายได้ทุกตลาด แม้จะน้อยแต่ก็ยังดีที่เขารู้จักเราแล้ว และเขายังรอดูหนังเราอยู่ตลอดเรียกว่าเราก็มีโอกาส ถ้าทำหนังได้โดนใจเขา   อยู่ว่าเขาจะซื้อไปฉายรูปแบบไหนเท่านั้น เพราะนอกจากโรงภาพยนตร์ยังมีที่ไปฉายตามเคเบิ้ลทีวี นอกจากนี้ยังมีออกวิดีโอ ถ้าเรามีงานอย่างต่อเนื่องแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าตลาดเราก็จะขยายขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน" ปรัชญา กล่าว
 
          ในขณะที่ อ.ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี นักวิจารณ์หนังอิสระ ได้กล่าวว่า เมื่อ 3-4 ปี ก่อนเชื่อว่าหนังตลกจะสามารถขายต่างประเทศได้ แต่เมื่อปีที่แล้ว กลับกลายเป็นว่ากระแสหนังรักในบ้านเรากำลังมา แต่ทั้งนี้หนังที่สามารถขายได้ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนังผีอยู่
 
          "ผมมองว่าในตลาดต่างประเทศหนังผีบ้านเราสามารถขายได้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังผีมีพล็อตเรื่องเป็นสากลที่คนดูไม่ว่าชาติไหนๆ ดูแล้วเข้าใจ อย่างเรื่อง "ลัดดาแลนด์" ตอนนี้ที่สิงคโปร์ และมาเลเซียก็กำลังฉายอยู่ ซึ่งสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปินส์ ฯลฯ ผมยังมองเป็นตลาดหลัก ส่วนหนังแอ็กชั่นผมว่าเราทำสู้ฮอลลีวู้ดไม่ได้ทั้งเรื่องเอฟเฟกท์หรือการตัดต่อ แม้ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง "องค์บาก" จะบูมมากที่อเมริกา แต่ผมก็มองว่าเป็นปรากฏการณ์แบบจุดพลุ คือสว่างแวบเดียวและดับ เพราะหนังแอ็คชั่นของไทยในระยะหลังๆ ก็ยังสู้เรื่ององค์บากไม่ได้" ธีปนันท์กล่าว