
สายัณห์เปิดใจหมดเปลือก 3 ปี ยอมตกเป็นจำเลยสังคม
คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : สายัณห์เปิดใจหมดเปลือก 3 ปี ยอมตกเป็นจำเลยสังคม
สามปีกับการจากไปของยอดรัก สลักใจ และ 3 ปีกับการตกเป็นจำเลยสังคมของพี่เป้า สายัณห์ สัญญา เรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับคำพูดผ่านสื่อที่บานปลายจนหาจุดจบไม่ลง ทีมข่าว ”คม ชัด ลึก” ได้นั่งคุยแบบเปิดใจกับพี่เป้าในเรื่องดังกล่าวซึ่งสังคมยังค้างคาใจมาตลอด
เวลาในช่วงที่ผ่านมารู้สึกอย่างไรกับการตกเป็นจำเลยทางสังคม
*** พี่เป้าไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อไหนเรื่องนี้เลยตลอด 3 ปี ที่ตกเป็นจำเลยสังคมมา เพราะว่ายิ่งออกมาพูดก็ยิ่งซ้ำร้ายไปกันใหญ่ รอให้คลื่นทะเลสงบแล้วเราควรจะเปิดเผยต้นสายปลายเหตุเสียทีว่ามันมาจากอะไร ไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไร
ปัญหาที่ผ่านมาเริ่มมาจากอะไร
*** จุดเริ่มต้นของเรื่องมันเกิดจากยอดรักให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนผมฟังแล้วตกใจหลังจากนั้น ก็มีข่าวจากหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์บางสื่อลงข่าวใจความว่า นักร้องลูกทุ่งยอดรักเป็นศิลปินลวงโลก ไม่ได้เป็นมะเร็งจริง สร้างเรื่องเพื่อหาผลประโยนช์ ผมตกใจ ก็ชวน สุพรรณ สันติชัย กับสันติ ดวงสว่าง ไปเยี่ยมที่บ้าน ก็ถามแอ๊ว เขาก็ลุกขึ้นมาจากที่นอน บอกว่าผมอ่านมาก่อนพี่อีก อย่าไปสนใจเรื่องหนังสือพิมพ์พันธุ์นี้ ไม่มีใครเขาอ่านหรอก ชอบใส่ร้ายปลายสีคนอื่น ผมเป็นจริงผมอยู่กับพี่ๆ ได้ไม่เกิน 6 เดือน
ตอนนั้นบอกกับยอดรักอย่างไร
***เราก็บอกว่าคิดอย่างนั้นไม่ได้ แม้เราไม่อ่านแต่พวกพ่อค้านักธุรกิจเขาอ่านเว็บไซต์มันไปทั่วโลก ถ้ามันไม่เป็นจริงแล้วฉบับอื่นไปลงมันจะเสีย ก็เลยถามว่าไปรู้มาจากใครหมอคนไหนทำไมบอกแบบนี้ ทำร้ายคนและจิตใจคนไข้มาก แอ๊วบอกว่าอ่านหนังสือ เราก็บอกว่ามึงบ้าหรือเปล่าหนังสือก็ลงไปอาจไม่เป็นก็ได้ เขาบอกว่าตอนนี้มันไม่มีอาการอะไร ปลอบใจกันไปในตัวเขาบอกว่าผมไม่กลัวมะเร็งไม่ได้มายิง ผมมียาดีได้มาจากไต้หวันผมจะขายกระปุกละ 3 พัน เราก็คิดว่ามันอาจจะมาจากตรงนี้ ก็ถามว่าบ้านไถ่หรือยัง แอ๊วบอกว่ายัง พี่เป้าก็สงสัยว่าแอ๊วมันก็อาจจะมีความจำเป็นหาเงินหรือเปล่า
เรื่องที่ยอดรักบอกเกี่ยวกับเศรษฐีใจบุญเป็นอย่างไร
***ที่แอ๊วให้สัมภาษณ์ บ้านจะโดนยึดเพราะเป็นหนี้อยู่ 5-6 ล้านก็จะขายบ้าน 15 ล้าน คงไม่มีใครซื้อมีคนเดียวที่จะซื้อได้คือเศรษฐีใจบุญ แต่ตอนนี้เขายังไม่กลับเมืองไทยก็รู้เลยว่าหมายถึงท่านอดีตนายกฯทักษิณ วันถัดมาไม่กี่วันนสพ.ฉบับหนึ่งถึงได้ลง เลยกลายเป็นต้นเหตุให้เราไปถามแอ๊ว เราก็คุยกันในวงเพื่อนว่าแอ๊วคงมีความจำเป็นก็ปล่อยมัน
เหตุการณ์มันบานปลายอย่างไร
***วันหนึ่งมีคนจัดงาน ก็โทรมาพี่เป้าว่าพี่ใหญ่พี่แอ๊วจะจัดงาน ช่วยมาเป็นแม่งานให้หน่อยจะจัดงานรวมศิลปินเขียนป้ายไว้แล้ว เราก็เล่าให้เบิ้มฟังว่า เราไปเยี่ยมแอ๊วมา2ครั้งแล้ว งานนี้ขอตัวได้ไหม เราไม่อยากเป็นจำเลยสังคม ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์(ฉบับหนึ่ง)เหรอ เราไปร่วมผ่านไป 3-4 เดือนไม่เป็นไร ถ้าเล่มอื่นลงว่าเราสร้างข่าวกันเราจะกลายเป็นจำเลยสังคมทั้งหมด พี่เป้าไม่ไปหรอกมันคงไม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหรอก วันต่อมาสื่ออีกเล่มลงข่าวว่า พี่ร่วมนำทีมจัดงานช่วยยอดรัก แฟนเพลงเขาอ่านเขาก็เอามาให้พี่ยังเก็บหนังสือไว้เลย พี่โทรไปหานักข่าวคนหนึ่งว่าใครลงข่าว มันก็ถามว่าทำไม ก็เล่าให้มันฟังอีกเราก็ว่าเพื่อนนะไม่น่าไปลง ฉบับต่อมามันลงอีก เป้าโวยยอดรักมะเร็งเก๊ แต่เนื้อข่าวไม่มีอะไรเลย แถมมีหมอออกมาระบุว่าไม่ฟันธงว่าเป็นมะเร็งอย่างมากก็ต่อมน้ำเหลืองโต
ตอนนั้นที่ข่าวออกมาในทิศทางเดียวกัน
*** พี่เป้าก็เอาหนังสือไปด้วย นักข่าวก็ถามว่าผิด คิดยังไง เราก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรมันคงไม่เป็นระยะสุดท้าย เห็นหนังสือพิมพ์ลงว่าแค่ต่อมน้ำเหลืองโต พี่เป้าไปเยี่ยมมาแล้วมันก็คุยสนุกสนาน เขาถามว่าฟันธงไหม เราก็บอกว่าไม่น่าเป็นหรอกเว็บไซต์ก็ลงกัน เขาอาจจะมีเหตุผล นักข่าวก็ถามว่าทำไมพี่แอ๊วมีเหตุผลอะไร เราก็บอกว่าอย่าไปขุดคุ้ยเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน อย่าทำเหมือนนักการเมือง แอ๊วอาจมีเหตุผล นักข่าวก็ถามว่าพูดแบบนี้จะลง ส.ส.ไหมแล้วจะลงพรรคไหน พี่ก็บอกว่าก็ต้องพลังประชาชน ก็เท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นนสพ.ลงว่าพี่เป้าหาว่ายอดรักมะเร็งเก๊ ทั้งๆ ที่คำพูดพวกนี้เราไม่ได้พูดเลยในหนังสือพิมพ์เขาลงมาแบบนี้อ่านดูบ้างไหม แต่นักข่าวไม่เคยพูดถึงนสพ.ฉบับหนึ่งที่ลงไว้และเป็นที่มาของ ”ยอดรักลวงโลก และคำว่า “มะเร็งเก๊” ส่วนอีกเล่มเขาพาดหัวข่าว พี่เป้าโทรไปด่าไมตรีทุกวันนี้ยังหมั่นไส้มันอยู่เลย แต่ก็ไม่โกรธมัน มันก็เพื่อนเรา มันบอกว่ามันไม่รู้ สาเหตุหนึ่งคือ คนทำเพลงในวงการคนหนึ่งซึ่งก็เพื่อนๆ กันบอกว่ามึงอยากให้นสพ.มึงขายดีไหม เอาเรื่องนี้ลงให้หวือหวาเดี๋ยวก็ขายดียิ่งไปกันใหญ่ หนังสือพิมพ์ ทีวีที่พี่เป้าเคยให้สัมภาษณ์ไปไม่เคยเอาคำพูดที่พี่พูดไปลงเลย กลายเป็นไปถามแต่ทางโน้นอย่างเดียว จนแอ๊วมาด่าเราผ่านรายการทีวี ทีวีก็โทรมาขอสัมภาษณ์ เราเปิดทีวีดูแอ๊วก็โทรเข้ามาด่าเราว่าไม่เคยช่วยใคร ไม่เคยไปงานใคร เราก็งงแอ๊วทำไมว่าเราแบบนี้เพียงเพื่อหาเงินเหรอ พยายามจะพูดแต่รายการไม่ให้เราพูด เราด่าเลยว่ามีความเป็นกลางไหมทำไมปล่อยให้แอ๊วด่าเราแบบนี้ ทีนี้สื่อก็ประโคมข่าวกันใหญ่ ตอนหลังพี่คนหนึ่ง(อดีตโฆษกดังในต่างจังหวัด)เขาก็บอกว่า การเมืองมันเข้ามาแทรกที่จริงมันไม่มีอะไรหรอกเป้ากับแอ๊วมันรักกันจะตาย อาจมีคนอยู่เบื้องหลัง คือ คนที่วางแผนจะทำวงดนตรียอดรัก แต่ไม่เกี่ยวกับเสรี รุ่งสว่างเลยไม่เคยพูด
ก็เสียใจที่แอ๊วว่าเรา คิดว่าเราไปเยี่ยมมาตอนวันเกิดเขาก็สนุกเฮฮา 3 ทุ่มแอ๊วเรียกขึ้นบ้านรวมสังสรรค์กันหน่อยถึงตี3 เราก็ยิ่งดูก็ไม่เห็นมีอะไร เราถึงปฏิเสธเรื่องงานคอนเสิร์ต จุดที่2 คือตอนที่สื่อลงข่าวไป ที่วัดไร่ขิงจะไปนะ แต่นักข่าวที่มันจะโจมตีเรามันก็มี เพราะมันไม่เคยให้ความยุติธรรมเราเลย คือไปร่วมงานก็ลบ ไม่ไปก็ลบสู้ไม่ไปดีกว่าลบน้อยหน่อยไม่มีใครได้สัมภาษณ์เราไปออก
พอหมอบอกว่ายอดรักเป็นมะเร็งจริงรู้สึกอย่างไร
***ใจหาย น้ำตาไหล เราต้องเสียน้องไปหรือ ในเวลานั้นที่แอ๊วด่าเราออกทีวี เลยตัดสินใจไม่ไป ไม่เอาแล้ว ไม่ให้สัมภาษณ์เราถอดใจ น้อยใจ ต้อม เสรีก็รวมหัวว่าเราก็เลยทำใจยอมเป็นจำเลยสังคม การที่มันด่าเราแล้วมันประสบความสำเร็จ ทิ้งเบอร์โทรเดิมไปเลย ยอมไม่ให้ข่าวปิดปากเงียบ จนบัดนั้นเพิ่งมาเปิดปากวันนี้ จริงๆ เรารักกันมากๆ ที่ผ่านมาพี่เป้าเสียใจ
มาถึงตอนนี้คิดอ่านอย่างไร
***เจอเสรี รุ่งสว่างเขามายกมือไหว้ (ในงานพระราชทานเพลิงศพ ครูก้อง กาจกำแหงเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ดังข่าวที่ได้เสนอไปแล้ว) งานนี้ยอมเป็นจำเลยสังคมให้น้องสองคนได้สมใจหมายเขา เราดีใจอย่างน้อยสุดส่วนลึกของหัวใจน้องๆ ไม่ได้โกรธกัน เราสามคนยอดรัก เสรี สายัณห์ เรามีครูคนเดียวกันคือ อ.ชลธี ธารทอง