
ฟองเบียร์" เดิมพัน "เลิฟ พิล"ด้วยชื่อเสียงทั้งหมดที่มี
เรียกว่าเป็นนักแต่งเพลง ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับ "ฟองเบียร์" ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม ที่ล่าสุดผุดโปรเจกท์ "เลิฟ พิล ยาดีมีไว้ฟัง" ออกมา โดยจับบุคคลจาก 9 สาขาอาชีพมาถ่ายทอดความรักในมุมมองต่างๆ
"ในตอนแรกวางไว้ว่า เราจะทำ 10 อาชีพ แต่พอทำไปองค์ประกอบหลักของการทำเพลง คือจะต้องได้คนที่มาร้องที่เสียงดี ที่จะทำให้คนฟังรู้สึกไปกับเพลงได้ เมื่อทำไปทำมาก็มาลงตัวที่ 9 อาชีพ โดยอาชีพที่ได้มา คือนักร้องไกด์ ที่ได้ "เอ๊ะ" (จิรากร สมพิทักษ์) มา ผมเห็นเขาแล้ว ผมรู้สึกว่าเขาสามารถที่เป็นศิลปินได้ ต่อมาคนที่สองคือ ใหญ่ โมโนโทน (ภูริช สุขุมาลจัทนร์) ที่ผมเพิ่งได้รู้จักเขาไม่นาน โดยผมชื่นชอบผลงานของโมโนโทนอยู่แล้ว และได้มารู้ว่าเขามีอาชีพหลักเป็นมัณฑนากร พอได้คุยกันเราก็ถูกคอกัน ผมเลยชวนเขามาทำงานโปรเจกท์นี้ด้วยกัน เพลงที่ใหญ่ร้องเขาเป็นคนแต่งขึ้นมาเองด้วย คนต่อมาคืออาชีพผู้บริหารที่ได้ "พี่เต้" (สันต์ ภิรมณ์ภักดี) ผู้บริหารของ สิงห คอร์เปเรชั่น ผมชอบวงกรุงเทพมาราธอนของพี่เต้ และอยากถ่ายทอดมุมมองชีวิตความเป็นผู้ใหญ่ของเขา โดยเพลง "เบอร์สอง" ได้วงของพี่เขามาร่วมทำงาน เพราะผมพยายามทำให้เป็นตัวตนมากที่สุด" โปรดิวเซอร์หนุ่มเล่า ก่อนจะเสริมต่อกับศิลปินคนต่อมา
"อีกคนคือดีเจเจ๊แหม่ม (วินัย สุขแสวง) แฟนผมเป็นแฟนรายการของเจ๊แหม่ม พอได้มาพูดคุยกัน ก็ได้รู้เรื่องราวความรักของเขา ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าที่จะนำมาถ่ายทอดต่อ มาที่ "อัทธ์" (อังค์กูณฑ์ ธนาทรัพย์เจริญ) โดยอาชีพของอัทธ์ คือนายแบบ แต่เขาเป็นคนที่ร้องเพลงได้ดี และทำเพลงเองได้ ซึ่งเพลง "วน" ที่อยู่ในอัลบั้มนี้เขาก็ทำมา แล้วผมนั่งฟังเพลงนี้แล้วผมรู้สึกว่ายาในตู้ยา สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือทิงเจอร์ คนต่อมาคือยอด (ศักดิ์สันติ์ ศิริตัน) โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ ยอดเป็นคนที่ร้องอาร์แอนด์บีเก่งมาก และเป็นคนมีฝันที่อยาออกอัลบั้มมีเพลงของตัวเอง
มาที่ "เกลือ เป็นต่อ" (กิตติ เชี่ยววงศ์กุล) ผมเป็นแฟน "เป็นต่อ" แล้วได้มารู้จักกับเกลือเรามีอะไรเหมือนกัน คือเป็นพ่อลูกอ่อนเหมือนกัน ผมเคยดูรายการสาระแน และเห็นเขาเป่าแซกโซโฟน เลยลองคุยให้เขาทำงานในโปรเจกท์นี้ด้วยกัน ในโจทย์อาชีพผู้กำกับ โดยเพลงที่เกลือร้อง ไม่ได้มาจากตัวเกลือ แต่มาจากเรื่องราวจริงของชิน (ชินวุฒิ อินทรคูสิน) ที่ว่าแฟนคลับของขินเขาเป็นโรคมะเร็งแล้วคุณหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 3 เดือน ชินเลยขอให้ผมแต่งเพลงให้น้องเขาชื่อเพลงว่า "Wahtever Whenever" ซึ่งพอผมแต่งเพลงนี้ แล้วชินเอาไปให้น้องเขาฟัง น้องเขาสามารถอยู่มาได้นานกว่า 3 เดือน เพลงนี้เลยเป็นเพลงที่ต้องกับโปรเจ็คนี้มาก ซึ่งชินเขาขอมาร่วมร้องด้วย เพราะเขาถือว่าเพลงนี้เป็นเพลงของเขา"
"คนต่อมาคือ "บอย" (ชาลี ลีติกุล) เป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่โบว์ (สุนิตา) เขาเปิดร้านเบเกอรี่ แต่ชอบเพลงร้องเพลง พอรู้ว่าผมทำโปรเจกท์นี้ทางพี่โบว์เลยพาบอยมาคุยกับผม และการันตรีกับผมว่าบอยเขาร้องเพลงได้ดี โดยเพลง "ใครสักคน" ที่บอยร้องได้พี่โบว์มาแจมด้วย และถือเป็นครั้งแรกที่พี่น้องได้ร้องเพลงด้วยกัน คนสุดท้ายของโปรเจกท์นี้คือผมเอง ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่อยากที่จะมาร้องเพลง เพราะผมไม่ชอบที่จะขึ้นเวที แต่สุดท้ายก็ต้องมาร้อง แต่มีข้อตกลงว่าผมจะไม่ขึ้นเวทีร้องเพลง" ฟองเบียร์กล่าวพร้อมหัวเราะ
ก่อนจะปิดท้ายให้ฟังว่าโปรเจกท์ "เลิฟ พิล" เป็นเหมือนตู้ยาสามัญประจำบ้าน ที่เพลงแต่ละเพลง อาจจะไม่โดนใจคนฟังในเวลานี้ แต่เพลงทุกเพลงในอัลบั้มนี้จะเป็นเพลงที่สักวันหนึ่งพอมาฟังแล้วจะรู้สึกว่าเพลงนี้มันเหมาะกับช่วงเวลานั้นๆ เหมือนที่ยาแต่ละชนิดที่ไม่สามารถกินพร้อมๆ กันได้ โดย "ฟองเบียร์" เผยว่าโปรเจกท์นี้เป็นความท้าทายที่เขาเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเป็นเดิมพันว่าถ้าเขาทำงานเพลงให้แก่ศิลปินที่ไม่มีชื่อจะดังเท่ากับศิลปินชื่อดังคนอื่นๆ ไหม
"ผมไปบอกกับทางคุณไพบูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ผู้บริหารใหญ่แกรมมี่) ว่าผมทำเงินให้กับที่นี่ได้อย่างมากมายมหาศาล ผมขอเงินบางส่วนมาเสี่ยงกับโปรเจกท์นี้ได้ไหม ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสนี้กับผม ผมเชื่อมั่นว่าผมจะสามารถทำโปรเจกท์นี้ออกมาได้ดี มิฉะนั้นผมคงไม่เอาชื่อเสียงของตัวเองมาเดิมพันหรอก" ฟองเบียร์สรุป