บันเทิง

แหล่

แหล่

31 ก.ค. 2554

แหล่ (31ก.ค.)

          กว่าลูกฉันจะโต ต้องเปลี่ยนพี่เลี้ยงไปหลายคน พี่เลี้ยงแต่ละคนก็มาจากคนละทิศคนละทาง แต่ในบรรดาพี่เลี้ยงทั้งหมด มีคนหนึ่งที่ฉันระลึกถึงเสมอ และเวลาที่ฉันมองหน้าลูกชายทีไร  ทำให้คิดไปถึงหน้าเธอตลอด

          เธอชื่อ แหล่ เป็นหญิงสาวมาจาก ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง แถบเมืองจำปาสัก ของลาวตอนใต้ อายุประมาณ 28 ปี สาเหตุที่ชื่อแหล่ เพราะผิวเธอค่อนข้างคล้ำ ซึ่งผิดแผกจากหญิงสาวที่มาจากแถบเดียวกันคนอื่นๆ แถมตัวเธอยังเล็ก ผอม บาง กินน้อย พูดน้อย อีกด้วย

          แต่สำหรับฉัน แม้เธอจะตัวดำ แต่หัวใจของเธองดงามยิ่งนัก 
          แหล่ ได้มีโอกาสมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกฉัน ตอนที่ลูกชายอายุเกือบ 7  เดือนแล้วเรียกว่า กำลังน่ารัก น่าชัง จริงๆแล้วเธอเป็นแม่บ้านที่บ้านแม่สามีฉันเอง ทุกครั้งที่ฉันพาลูกไปเยี่ยมครอบครัวสามีที่กรุงเทพฯ แหล่มักจะได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงลูกชายฉันเสมออย่างน้อยก็ 2-3 ครั้งที่ฉันไปที่นั่น

          “คุณหน่อย หนูจะดูน้องให้ คุณหน่อยไปกินข้าวเลย” แหล่มาขอไกวเปลให้น้องพฤกษ์เพื่อขอเปลี่ยนฉันไปกินข้าว ซึ่งฉันดูกิริยาของเธอแล้ว เธออาสาทำด้วยความเต็มใจ ไม่เหมือนแม่บ้านอีก 2 คน ที่มาจากบ้านเดียวกัน ไม่ค่อยสนใจ และอยากจะอยู่ใกล้เด็กมากนัก

          “คุณหน่อย จะอาบน้ำไหม เดี๋ยวหนูดูน้องให้” แหล่อาสา หากเห็นหน้าฉันมันย่อง เพราะวิ่งไล่จับลูก แทบไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเอง 
           “คุณหน่อยอยู่ขอนแก่นมีคนช่วยเลี้ยงน้องไหม” แหล่ถาม เวลาเห็นฉันวุ่นวายกับเจ้าตัวเล็กจนไม่มีเวลาว่าง 
           “คุณหน่อยให้น้องกินนมอะไร ทำไมถึงเนื้อเยอะอย่างนี้” แหล่พูดพลาง กอดกระชับน้องพฤกษ์ ลูกชายฉันไว้แนบอก
 หลายครั้งที่ฉันเฝ้าสังเกตแหล่ เพราะด้วยความไม่ใว้ใจมากนัก เนื่องจากข่าวเรื่องแม่บ้านต่างด้าว ทำร้ายเด็ก มีให้ได้ยินอยู่ตลอด ทำให้ไม่กล้าปล่อยลูกไว้ตามลำพังกับพี่เลี้ยง แต่สำหรับแหล่ ฉันคงต้องเปลี่ยนใจ
           “แหล่ สงกรานต์นี้ไม่กลับบ้านเหรอ” ฉันถามในวันหยุดยาวที่มีโอกาสลาพักร้อนพาลูกไปเยี่ยมปู่ย่าที่กรุงเทพฯ
           “อยากไปค่ะ แต่คนเยอะ หนูกลัวไม่มีรถกลับ”
           “อ้าว แล้วไม่คิดถึงบ้านเหรอ” ฉันถามไป โดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แค่หวังชวนคุยเท่านั้น ในวันที่เธอเอาเสื้อผ้าน้องที่ซักและรีดเรียบร้อยแล้วเข้ามาให้ แต่สิ่งที่ได้รับคือภาพของแหล่ก้มหน้า น้ำตาหยด ก่อนจะเงยหน้าทั้งน้ำตามาตอบ
           “คิดถึงมาก หนูมีลูก อายุขวบกว่าแล้ว แต่ผอมกว่าน้องเยอะเลย ตั้งแต่หนูคลอดเขาได้ 2 เดือน  ก็เอาไว้ให้แม่เลี้ยงที่บ้าน หนูเพิ่งได้กลับไปดูเขา ตอนเขาได้ 5 เดือนกว่าๆ และ หนูก็กลับมาทำงานต่อ เมื่อปลายปี หนูกลับไปอีก เขาก็วิ่งได้แล้ว เรียกแม่ได้แล้ว แต่ตัวผอมมาก” แหล่เล่า และหยุดไป เหมือนกลั้นไม่ให้ก้อนสะอื้นที่กำลังจะขึ้นหลุดรอดมาได้ ทำให้ฉันพลอยเงียบไปด้วย หลายอึดใจทีเดียวที่เธอจะยอมพูดต่อ  
           “หนูตั้งใจว่าหลังสงกรานต์ จะเก็บเงินแล้วซื้อนมแบบที่น้องพฤกษ์กินไปให้เขากินบ้าง เผื่อเขาจะได้อ้วนเหมือนน้องพฤกษ์ เพราะลูกหนูขวบกว่าแล้วหนักยังไม่ถึง 10 กิโลเลย” แหล่บอก พร้อมมองมาที่หน้าน้องพฤกษ์ ก่อนจะก้มหน้านิ่งต่อ
           “แล้วทำไมถึงไม่เลี้ยงเอง” ฉันยังโง่ถามต่อ ทั้งๆที่ก็พอจะรู้คำตอบ
           “บ้านหนูจน พ่อแม่ไม่มีที่นา มีอาชีพเก็บกล้วยไม้ป่ามาขายที่ตลาด แฟนหนูก็ต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ รับจ้างในโรงงานได้เงินเดือนๆ ละ 4 พัน หนูก็มาทำงานบ้าน เราก็ส่งเงินกลับไปให้แม่ซื้อข้าว ซื้อนมให้ลูก แต่เงินเดือนที่หนูได้ก็ต้องหักให้ค่านายหน้าที่พาหนูมาทำงาน เราสองคนผัวเมียก็ต้องให้เขา 3 หมื่น หักให้ไปเดือนละ 2 พัน เหลืออยู่คนละ 2 พัน ส่งให้แม่เดือนละ 2 พันก็แทบจะไม่พอกิน หนูไม่เท่าไหร่เพราะกินอยู่ที่นี่ แต่สามีหนูต้องซื้อกินเองทุกคาบ หนูเลยต้องเอาเงินหนูไปให้เขาด้วย” แหล่เล่าหน้าเศร้า ทำเอาฉันพลอยเศร้าตามไปด้วย
           “หลังสงกรานต์หนูจะกลับไปดูลูก แล้วจะเอานมไปให้เขากิน” แหล่บอกด้วยสีหน้าดีขึ้น โดยบอกให้ฉันช่วยจดชื่อยี่ห้อนมผงที่ใช้เลี้ยงลูกให้ด้วย เธอบอกว่าจะเอาไปให้นายหน้าคนไทยที่พามาทำงาน ไปซื้อให้ก่อนจะกลับบ้าน

          จากนั้น วันไหนที่แหล่มาขออุ้มน้องพฤกษ์ ไม่เคยเลยที่ฉันจะเกี่ยงงอน และไม่เคยแอบดูพฤติกรรมของเธอ เพราะมั่นใจในสายใยรัก ที่เชื่อมโยงจากลูกของเธอมาสู่ลูกของฉัน แต่น่าเสียดายที่หลังจากนั้นไม่นาน แหล่ก็กลับบ้านไปและไม่กลับมาอีก ได้ข่าวว่าลูกเธอไม่สบาย ทำให้เธอไม่อยากจะทิ้งลูกมาทำงาน ปล่อยเพียงสามีให้กลับมาเมืองกรุงเพียงลำพัง

          แม้ตอนนี้ลูกชายฉันจะโตแล้ว แต่ทุกครั้งที่พาเขาไปเยี่ยมปู่ย่า ฉันมักจะถามถึงแหล่เสมอ และเล่าให้ลูกชายฟังว่า มีพี่เลี้ยงชาวลาว มาเลี้ยงเขาตอนเด็กๆ ด้วย ทำให้เขาตื่นเต้นและถามบ่อยๆ โดยเฉพาะชื่อ แหล่ ว่าแปลว่าอะไร 
          “ชื่อแหล่แปลว่าดำ แต่คนชื่อแหล่ไม่ใจดำนะ ใจดีมากเลย” ฉันบอกเขา ด้วยหัวใจเปี่ยมสุข เพราะตอนนั้นฉันกำลังคิดถึงแหล่อยู่

 

บายไลน์...สุมาลี โพธิ์พยัคฆ์