
ศิลาในน้ำเชี่ยว - สัมมาสมาธิ
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ ได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางสัมมาปฏิบัติในกิจกรรม ชมรมคนรู้ใจ ณ หอประชุมพุทธคยา โดยเน้นเรื่องของมรรคสุดท้ายในอริยมรรคมีองค์ 8
นั่นคือ สัมมาสมาธิ ซึ่งก่อตัวขึ้นจากอริยมรรคประการก่อนทั้งหมด ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ และสัมมาสติ โดยสัมมาสมาธิ หมายถึง ความตั้งใจมั่นโดยชอบ ด้วยใจตื่นรู้ในทฤษฎีถูกต้องของอริยมรรคอย่างไม่หวั่นไหว รู้ ตื่น เบิกบานเพราะรู้เท่าทันกายใจตน สามารถดูอาการของตนไปโดยไม่ต้องข่มบังคับตนเอง แต่ก็ไม่เพลินจนปล่อยให้ใจอยู่ในสภาพเพลินเผลอ
อริยมรรคเริ่มต้นด้วย สัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นเข้าใจทั้งในสิ่งที่ชอบ-ไม่ชอบ สิ่งที่เป็นกุศล-อกุศล ว่าทุกสิ่งมีความเสื่อมไป ทนยาก ไม่ใช่ตัวตน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบก็เป็นทุกข์และย่อมดับไป และแม้เราจะมีจิตที่เป็นปกติ ไม่ยินดียินร้าย ก็ให้ใจรับรู้ว่าสภาพกายยังเสื่อมอยู่ ต้องมีสติตลอดเวลา เพราะสภาวะทุกข์อันเกิดจากกายแล้วมาครอบงำใจนั้นจะดึงใจให้มุ่งไปคิดออกจากความไม่พอใจในทุกข์ ถ้าเราไม่ฝึกใจก็จะยิ่งจมอยู่กับทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ด้วยเหตุการณ์ ทุกข์เพราะใจไม่อยากทุกข์ หรือทุกข์ด้วยสภาวะที่กายเป็นทุกข์จากความเสื่อมทั้งโดยปกติหรือไม่ปกติก็ตาม ถ้าไม่ฝึกใจอยู่เสมอใจจะตั้งความปรารถนาและตื่นกลัวความทุกข์ เพราะไม่เข้าใจทุกข์ แนวทางในการศึกษาอริยมรรคนั้นพระพุทธเจ้าวางแนวทางไว้ 3 ขั้น คือ 1) สุตมยปัญญา ฟังทฤษฎี-จำให้เข้าใจ 2) จินตามยปัญญา หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการเจริญชีวิต ไปสู่ความไม่มีภพชาติทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งของความทุกข์ทั้งปวง โดยใช้สติและความเข้าใจในแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าทำไมจึงห้ามทำ ถ้าปฏิบัติผิดไปจากแนวคำสอนจะเป็นบาปอย่างไร จะเป็นทุกข์อย่างไร และ 3) ภาวนามยปัญญา อบรมใจให้เกิดปัญญา อันเกิดจากใจที่ตั้งศึกษาโดยไม่อาศัยสัญญา (ความทรงจำ) แต่เป็นความรู้ชัดในปัจจุบัน ใจรู้ว่าถ้าสิ่งนี้ปรากฏกับใจแล้วใจอึดอัด หรือเพลิดเพลิน หรือผ่องใส ทำให้ใจหลุดจากสิ่งที่ล่อลวงไป ซึ่งถ้าใจรู้แล้วก็จะไม่หลงไปอีก เร็วกว่าไปทบทวนจากความคิดที่เกิดจากสัญญา
ภาวนามยปัญญาเพื่อเจริญสัมมาสมาธิมีหลักง่ายๆ คือ ประคองรักษาใจให้นิ่ง แต่ตื่นตัว รู้ตัว ยอมรับในสิ่งที่เป็น ในความยินดียินร้ายที่ปรากฏอยู่ ไม่ใช่แค่ดูใจเฉยๆ เพราะอาจจะเผลอไปติดฝังตัวอยู่กับความรู้สึกของใจ ฝึกใจให้ขยายขอบเขตในการรับรู้โดยไม่ต้องปรุงแต่งสิ่งที่รู้ เช่น รับรู้รสก็ไม่ต้องปรุงแต่งใจต่อว่าอร่อยหรือไม่อร่อย พร้อมทั้งตั้งมั่นในการเรียนรู้ มุ่งใจออกจากกาม ภพ ที่ผูกอยู่กับความยินดี ยินร้าย พยายามประกอบตนเองไม่ให้หวั่นไหวในสิ่งที่ยินดี ยินร้าย เป็นผู้มีความมักน้อย สันโดษต่อสภาวะโลกทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้อง พยายามประคองใจของตนไม่ให้หวั่นไหว
คนเราทุกวันนี้มีสภาพเหมือนทศกัณฐ์ คือ ถอดดวงใจไปไว้ที่นั่นที่นี่ว่าเป็นเรา ของเรา โดยเฉพาะกับของรักทั้งหลาย ถ้าใครมาทำร้ายทำลายเราก็เจ็บใจเสียใจ จริงๆ แล้วกล่องดวงใจของทศกัณฐ์อาจไม่ใช่หัวใจจริงๆ แต่เป็นของรักที่ทำให้มีกำลังใจ ใครมาฆ่าก็ไม่ตาย แต่พอเสียกำลังใจไปจึงหมดสภาพชีวิตนั่นเอง เราจึงต้องฝึกสังเกตอาการใจ ฝึกทำใจให้รับรู้ ตื่นรู้ เบิกบานอยู่เหนือสภาวะความยินดียินร้าย รับรู้โดยแยกจากความรู้สึกในการครอบครองเป็นเจ้าของ ว่าทุกข์ที่เกิดหรือรูปนามทั้งหลายเป็นตัวเรา ของเรา
การเจริญกรรมฐานที่มีอริยมรรคเป็นแนวทางนั้น ใจต้องรู้เสมอ แต่รู้ในอาการที่ไม่สะทกสะท้าน เพราะธรรมชาติของเราคือเกลียดกลัวทุกข์ เช่น ทุกข์ในการขาดปัจจัย 4 เราเข้าใจว่าขาดปัจจัย 4 เป็นทุกข์ แต่จริงๆ แล้วปัจจัย 4 แค่ช่วยให้ทุกข์ชะลอลงแต่ไม่ได้หมดทุกข์ เดี๋ยวทุกข์ก็มาใหม่ พอเราไม่เข้าใจก็แสวงหา สะสมปัจจัย 4 จนใช้ไม่ทัน เป็นภาระในการเก็บการบริหาร ในการข้องแวะใจ ในการแบกทั้งหลาย จึงยากที่จะทำให้ชีวิตตั้งอยู่ในการเปิดใจกว้างรับรู้โดยชอบ
การฝึกกรรมฐานที่เราใช้ใจดูกายที่น้ำหนักหยั่งลงในอิริยาบถทั้งหลาย ต้องอาศัยกำลังสมาธิและสัมปชัญญะ คือรู้อย่างรอบ ทั้งอาการเริ่มต้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง ดับไปของทุกข์ รวมทั้งการกลับมาใหม่ จนใจไม่สงสัย ไม่วางใจว่าท่าใดจะสบาย ใจจะไม่คาดไปในอนาคตว่าขยับไปท่านั้นท่านี้แล้วจะหายตึงปวดเมื่อย ใจยอมรับว่าแม้เปลี่ยนท่าก็ทุกข์ ซึ่งเป็นทุกข์เพราะใจไปสนใจ ความสนใจก็คือเอาใจไปร้อยกับสิ่งที่ปรารถนา ยึดถือว่าเป็นเรา ของเรา จึงทำให้เป็นทุกข์ทันที
เมื่อใจตั้งมั่นในความตื่นรู้อย่างเสถียรไม่หวั่นไหว ประคองใจอย่างนี้แล้วเติมกำลังสติตลอดเวลาเป็นหางเสือพาตนไม่ให้ติดเกาะกับภพชาติ นั่นได้ชื่อว่า สัมมาสมาธิ
"ดนัย จันทร์เจ้าฉาย"
วันศุกร์ที่ 24 เมษายนนี้ ขอเชิญท่านที่สนใจร่วมดีท็อกซ์กายใจตนเอง เข้าร่วมกิจกรรมดีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ ที่หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ชั้น 22 อมรินทร์พลาซ่า เริ่มตั้งแต่บ่ายโมงถึงบ่ายสาม เชิญจิบชาละอูผสมใบเจี่ยวกู้หลาน ล้างพิษ โดยมี อาจารย์บูรพา ผดุงไทย นพ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ประธาน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาการแพทย์ทางเลือกและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนร่วมงาน
ต่อด้วย การบรรยายธรรมจากพระชาวทิเบต สมเด็จพักโชค ริมโปเช ในหัวข้อ จตุลักษณ์แห่งพุทธศาสนา : ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สันติสุข บรรยายภาษาอังกฤษ แปลภาษาไทย เริ่ม 06.30- 21.30 น. สำรองที่นั่งฟรี โทร.0-2685-2254