บันเทิง

“แก้ม”กับเสียงทรงพลังที่ไม่มีวันเปลี่ยนได้

“แก้ม”กับเสียงทรงพลังที่ไม่มีวันเปลี่ยนได้

30 มิ.ย. 2554

ถ้าถามถึงดีว่ารุ่นใหม่ของเมืองไทยตอนนี้ ที่ทุกคนคิดถึง ชื่อของ “แก้ม” วิชญาณี เปียเกลิ่น หรือ “แก้ม เดอะสตาร์” คงเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนเอ่ยถึง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร เพราะจากพลังเสียงที่ “แก้ม” โชว์บนเวทีเดอะสตาร์ตั้งแต่ตอนที่ประกวด ทำให้ “แก้ม”

 แต่ชีวิตในฐานะของศิลปินมันแตกต่างจากตอนประกวดอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากนั้น “แก้ม” คลอดอัลบั้มแรก “แก้ม” ออกมา ด้วยเพลงเร็วในสไตล์ที่คนคาดไม่ถึงออกมา แต่เพราะตอนนั้น “แก้ม” เหมือนเหล็กที่ตีตอนร้อน ตีเท่าไหร่ก็ดัง ยิ่งเมื่อปล่อยเพลงช้าโชว์เสียงในเพลง “ไม่เหลือเหตุผลจะรัก” และ “แสงและเงา” ทำให้อัลบั้มแรกของ “แก้ม” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีดีว่าสาวคนนี้กลับมาอีกครั้ง กับลุคใหม่ที่เปรี้ยวและมั่นใจมากขึ้นในแบบ “บียอนเซ่” ของเมืองไทยที่ทุกคนอยากจะเห็น ในอัลบั้มใหม่ “Baby It’s You” ที่เป็นชื่อซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มที่สองของ “แก้ม” ด้วย โดยเพลงนี้ก็เดินในแนวทางเดิมคือเป็นเพลงเร็วที่โชว์ความเปรี้ยวของ “แก้ม” แต่ที่แตกต่างกันก็ตรงที่เพลงนี้ดูจะไม่ทำให้คนเห็นความแตกต่างและดึงดูดใจคนฟังได้

 ทำให้ “แก้ม” ต้องพลิกวิกฤตินี้ กลับมาเป็นตัวเองในแบบของดีว่า “แก้ม” ด้วยการโชว์พลังเสียงตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ในเพลง “มหันตภัย” ซึ่งเป็นเพลงช้าๆ แบบลบๆ แต่จัดหนักในเรื่องของพลังเสียง โดย “แก้ม” เล่าถึงการทำงานในอัลบั้มนี้ว่าหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เริ่มจากทัศคติในการทำงานที่จากอัลบั้มแรกที่เจ้าตัวเพิ่งเสร็จจากเวทีเดอะสตาร์มา ไม่ว่าทีมทำเพลงทำแบบไหนมา ตนเองก็พร้อมที่จะร้องทั้งหมด โดยที่ลืมคิดถึงความชอบไม่ชอบของตัวเองไป และด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็กมา ทำให้ไม่ว่าจะไปร้องเพลงงานไหน จะร้องเพลงเฉยๆ ไม่มีการพูดคุยหรือเอ็นเตอร์เทนด์คนดูเลย แต่พออัลบั้มใหม่ล่าสุด “แก้ม” ได้เรียนรู้จากการได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตร่วมกับสองสุดยอดด้านเอ็นเตอร์เทนเนอร์ของเมืองไทยทั้ง “เบิร์ด” ธงไชย แมคอินไตย์ และ “บี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ทำให้ “แก้ม” ได้เรียนรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง

 “โดยเฉพาะพี่อ๊อฟ (ปองศักดิ์ รัตนพงษ์) ที่เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก้มได้รู้ว่า พออยู่บนเวที แก้มสามารถเป็นตัวแก้มเองได้ ไม่ใช่ว่าแก้มจะต้องกลัว เพราะจริงๆ ตอนแรกคนจะมองว่าแก้มเป็นคนนิ่งๆ แต่ไม่ค่อยพูดและมักจะโดนพวกพี่ๆ แกล้งเสมอ แต่พอได้รู้จักกับพี่อ๊อฟ แก้มเลยรู้ว่าจริงๆ แล้วคนไม่ได้อยากเห็นแก้มในมุมแบบนั้น แต่คนอยากเห็นแก้มที่เป็นตัวเองมากกว่า” นักร้องสาวกล่าว

 โดย “แก้ม” ยังยอมรับว่าแฟนๆ ยังติดภาพติดหูกับการเป็น “แก้ม” ที่ต้องโชว์พลังเสียง ทำให้การที่จะเปลี่ยนแนวไปในทางอื่นเป็นเรื่องที่ยาก ซึ่งหลายครั้ง เธอพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้แฟนเพลงได้เห็น ในมุมอื่นบ้าง แต่ได้รับผลตอบรับกลับมาไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่เป็นเพลงช้าๆ ซึ้งๆ โชว์เพลงในการร้อง จนทำให้การโชว์พลังเสียงกลายเป็นเนื้อแท้และเนื้อใน ที่แก้มต้องมีติดตัวไว้ตลอดไปแล้ว ซึ่งนักร้องสาวยอมรับว่าใจหนึ่งรู้สึกดีที่มีคนชอบในมุมนั้น แต่อีกใจก็หวั่นกลัวว่าคนจะมองว่าตนมีดีแค่เรื่องพลังเสียงอย่างเดียว แต่แก้มก็ไม่ย่อท้อ เพราะหลังจากที่เจ้าตัวได้เรียนที่ดุริยางคศิลป์ ม.ศิลปากร และเรื่องในสาขาดนตรีแจ๊ส ตนเองก็คิดแล้วว่าจะต้องได้ไอเดียใหม่ๆ มาเสริมแต่งในแนวดนตรีของตัวเอง

 “เพราะในอัลบั้มนี้ แก้มได้มีส่วนร่วมมากขึ้น จากอัลบั้มแรกในเรื่องของการดีไซน์เสียงร้อง โดยเฉพาะท่อนที่เป็นการด้นสดของทุกเพลงจะเป็นการออกแบบของแก้มทั้งหมด แถมในอัลบั้มนี้แก้มยังโชคดีที่ได้กับมาร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่เก่งๆ ที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก อย่าง พี่นิ่ม สีฟ้า “พี่เที้ยง” วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ และ “พี่โอเล่” พณวรรธน์ พงศ์ภักดีบริบาล อัลบั้มนี้จะได้เห็นมุมใหม่ๆ ของแก้มในแบบที่หลายคนไม่เคยเห็น แต่ก็ยังเหลือมุมเก่าๆ ที่คนชอบไว้ด้วย เรียกว่าเป็นการผสมกันเพื่อให้คนได้เลือกว่าชอบแก้มในแบบไหนมากกว่ากัน” แก้มปิดท้าย