บันเทิง

จากปีเตอร์ ชานถึง Wuxia 
ไฟเขียวไฟแดงของหนังจีน

จากปีเตอร์ ชานถึง Wuxia ไฟเขียวไฟแดงของหนังจีน

24 มิ.ย. 2554

ไม่ว่าจะมี "จำนวนนับ" อยู่สักเท่าไหร่ เราคงไม่สามารถนับรวมจริงๆ ได้ว่า sea and zen 3 มิติ นั้นเป็นมูลค่าที่จะบอกอะไรได้บ้าง ถึงการกลับมาของหนังจีนในอนาคต(ไม่ว่าอันใกล้หรือยาว) เหตุผลเพราะว่าหนังอีโรติกสามมิตินั้น เกิดขึ้นและมีการเดินทางของมันในตลาด มาจาก

 หนังเรื่องใหม่ที่ว่านี้ ขอออกเสียงตามตัวว่า "อู๋ เซียะ" (ขณะที่จับได้ว่า ปีเตอร์ ชาน เรียกหนังตัวเองว่า "อู๋ เซียะ") ถ้านับเอาอย่างเป็นทางการ ผมเจอและคุยกับเขาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว จากการพบกันตามงานต่างๆ ผู้กำกับหนังอารมณ์ดีที่ใบหน้าดูจะยิ้มแย้มตลอดเวลานั้น ทำหนังมาแล้วมากแนวคนหนึ่ง หนังรัก หนังดราม่า หนังเพลง และหนังแอ็กชั่นฟอร์มโต และคำตอบก็มีทั้งได้ทั้งกล่อง และเงิน จนถึงเจ๊งก็มี (วันดีคืนดี ก็มีแรงเหลือไปสนุกสนานกับการเป็นโปรดิวเซอร์ผลงานบางเรื่อง)

 "ผมไมได้สนใจหรอกว่า ผมเป็นแนวทางอะไรมากที่สุด แต่คำถามนี้ ผมจะบอกว่า ผมสนใจการเป็นตัวละครในหนังมากกว่า" ปีเตอร์ ชาน บอกผม หลังจากถูก "เย้า" ว่า ตกลง ทำหนังมาหลายแนวทาง แล้วตัวตนจริงๆ เป็นอะไรมากกว่ากัน เขาแจกแจงว่า คาแรคเตอร์ในหนังของเขามักจะมีความทะเยอทะยานและความปรารถนา ในระดับที่มาก และไม่ว่าตัวละครชนิดนี้ อยู่ในหนังแบบไหน มันก็น่าสนใจสำหรับเขาทั้งสิ้น ตอนไปนั่งรอสัมภาษณ์ส่วนตัวกับปีเตอร์ ชาน ผมใช้เวลาดูโปสเตอร์ และข้อมูลที่ทางสหมงคลฟิล์มให้มา และแอบสังเกตว่า จริงๆ แล้วหนังอย่าง วูเซียะ มีอัตลักษณ์และรูปร่าง กระเดียดไปทาง hero หรือ red cliff ที่เคยมาฉายบ้านเราในปี 2009 และเป็นหนังใหญ่ที่เป็นภาคต่อ

 "หลักคิดอย่างหนึ่งในช่วงหลังของหนังเอเชีย คือต้องแอ๊คชั่น + ฟอร์มใหญ่ มันยังใช้ได้ผลหรือ"ผมถาม ปีเตอร์ ชาน "ไม่ถึงขนาดว่าทำแบบนี้แล้วได้ผลทุกเรื่อง แต่ทิศทางของอุตสาหกรรมและพฤติกรรมของผู้ชม ก็ต้องบอกว่า การคิดคอนเซปต์แบบนี้ก่อน เป็นแต้มต่อในทางบวกมากกว่าลบ" เขาอธิบายให้ฟัง "ถ้าคุณไปดูหนังย้อนหลัง จะพบว่าหนังที่เดินมาโจทย์มาแบบนี้ มักจะมีผลตอบรับที่ดีกว่าหนังเล็กๆ หรือหนังปานกลาง จากคนดู ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ถ้าคุณจะหนังแอ็กชั่นสักเรื่องหนึ่ง แล้วคุณไปทำแค่สเกลเล็กๆ มันจะไม่สามารถ เล่นกับอะไรหลายๆ อย่างที่เล่นได้" ผู้กำกับ เถียนมิมี่ ที่เคยโด่งดังในบ้านเรา ตอนที่มาลงโรงฉายที่เวิลด์เทรดยุค 10 ปีก่อน บอกว่าอะไรหลายๆ อย่างที่สามารถจะเล่นได้ก็คือ คิวบู๊ การคิดท่าร่ายรำของเพลงยุทธ์ รวมไปถึงสไตล์ของหนังแอ็กชั่น คำตอบหลัง ทำให้ผมปิ๊งคำถามใหม่ทันทีว่า งั้นถ้ามันเป็นแอ๊คชั่น งั้นถ้ามันเป็นหนังขายสไตล์บู๊แบบจีนๆ ...จากอั้งลี มาจนถึง จางอี้โหมว คนดูจะยังไม่เบื่อเหรอ เพราะว่าได้คุ้นเคยกับประสบการณ์ในการดูหนังแอ็กชั่นแบบจีนมาสักระยะหนึ่งแล้ว ..

 จากตรงนี้ ผมอธิบายให้ ปีเตอร์ ชาน ฟังว่าจาก crouching tiger hidden dragon มาจนถึง hero และเลยป้ายสถานีไปถึง house of flying daggers นั้น อาวุธลับของหนัง ก็คือการใส่ความสวยงามลงไปในหนังบู๊ ผมบอกเขาว่า ย้อนกลับไป แม้แต่หนัง จอห์น วู หรือ เควนติน ตารันติโน ก็ถึงเคยขนาดเอาความสวยงามของฉากเต้นรำในหนังเพลง(musical) มาดัดแปลงใส่ท่าลงไปในหนังแอ๊คชั่นร่วมสมัยของพวกเขา
คำถามคือ แล้วปีเตอร์ ชาน จะใส่อะไรอีกในหนังแอ๊คชั่น ที่แค่โปสเตอร์ ก็บอกแล้วว่า มันคืองานฟอร์มยักษ์ ? "ใส่สไตล์แบบใหม่ลงในนั้น" ปีเตอร์ ตอบ

 "ผมคิดว่หนังจีนมันมีวัฒนธรรมและรูปลักของการต่อสู้เยอะ ฉะนั้น เมื่อมีการทำหนังแอ็กชั่นขึ้นมาแต่ละช่วงเวลา ยังสามารถนำมาเล่นกับแง่มุม และสไตล์ของหนังแบบใหม่ๆ ได้ เพราะว่าเรามี culture ให้เลือกเล่นได้เยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น ไม่ใช่ size ของมัน แต่เป็น content"

 Wuxia (อูเซีย) เป็นเรื่องราวของ  ปรมาจารย์กังฟูและอดีตนักฆ่ากลับใจในยุคปลายราชวงศ์ชิง หลิวจินซี (ดอนนี่ เยน) ที่ต้องการใช้ชีวิตสงบกับครอบครัวเป็นช่างทำกระดาษ แต่แล้วอดีตก็ตามมาหลอกหลอนเมื่อทางการส่ง นักสืบมือหนึ่งอย่าง ซูไป๋จิ่ว (ทาเคชิ คาเนชิโร่) มาตามสืบเรื่องราวของเขา และตามหาตัวเพื่อไปรับโทษในเมืองหลวง ทำให้ หลินจินซี  ต้องกลับสู่วังวนแห่งการต่อสู้อีกครั้ง ตัวหนังนั้นได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยม พอสมควรจากการฉายในคานส์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

 จากเรื่องราวที่เข้มข้นและลีลาบู๊สุดมัน จากสองนักแสดงซูเปอร์สตาร์อย่าง ทาเคชิ คาเนชิโร่ และ ดอนนี่ เยน  เคยมีการคาดเดาในวงเล็กๆ ของหนังวิจารณ์เอเชียว่า หนังจีนจะกลับมาโถมตัวอีกระลอก แต่ก็ยังน่าสงสัยว่า มันจะกลับมาจริงหรือ เนื่องเพราะหลังจากผ่านพ้นยุคทอง ตั้งแต่ยุคจอมโหดของจาง เชอะ มาจนถึงเฉินหลง หนังจีนต้องพบกับความใหม่ของหนังเอเชีย ที่พัฒนาไปไกลและถูกเบรคไปด้วยช่วงเวลาที่ยาวนาน ปีเตอร์ ชานบอกว่า ไม่ใช่แค่หนังจีนหรอกที่เจอกับการท้าทายว่า  จะกลับมาได้มากน้อยแค่ไหน เขาบอกว่ายุคนี้ หนังของทุกประเทศ ทำยากหมด

 "..แต่ผมจะไม่บอกว่า มันดูหมดหวังนะ เพราะผมเชื่อว่าหนังของใครก็ตาม ถ้าทำใหม่แล้วคิดใหม่ หาวิธีการใหม่ๆ มันขายได้ คนดูต้องการอะไรแบบนี้ แม้แต่หนังเรื่องนี้(อู๋เซียะ) ของผม ซึ่งจริงๆ ก็กลับมาหาอดีตบางอย่างของหนังยุค จางเชอะ แต่ผมคิดมันจากมุมมองใหม่ๆ และตั้งใจทำให้เป็นหนังแอ็กชั่นที่แปลกออกไปจากที่ผ่านมา  ซึ่งผมเชื่อว่าคนดูบ้านเราจะสนุกกับหนังเรื่องนี้"

 อู๋เซียะ จะเข้าฉายในบ้านเราราวๆ ปลายเดือนกรกฏาคม  ซึ่งตอนนั้น ผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรขึ้นอีก"เพราะสงครามนั้น มีหนังก็พอแล้ว"

"นันทขว้าง สิรสุนทร"