บันเทิง

Super8

Super8

16 มิ.ย. 2554

ดูจากหนังตัวอย่างพานให้คิดไปว่า นี่คือหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลก หรือไม่ก็เอเลี่ยนตัวร้ายหลุดจากที่กักขังออกอาละวาดไล่ล่ามนุษย์...

  “Super 8” ไม่ใช่ในแบบแรก และก็ไม่เชิงนักในพล็อตอย่างหลัง... เอาเข้าจริง แม้ภาพลักษณ์ดูเป็นหนังแอ็dชั่นไซไฟ แต่แก่นแกนของเรื่องกลับมุ่งเน้นไปที่ประเด็นมิตรภาพ ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ โดยเริ่มจากกลุ่มเพื่อน 5 คน มารวมตัวกันถ่ายหนัง ‘ซอมบี้’ ด้วยกล้องฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 8 มม. หวังส่งประกวดเทศกาลหนัง และในระหว่างที่พวกเขาแอบพากันไปถ่ายหนังข้างทางรถไฟ กลับอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อมีรถกะบะพุ่งเข้าชนขบวนรถไฟจนตกราง และในเช้าวันต่อมา เหล่าเด็กๆ ก็พบว่า มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นมากมายในเมือง จนเกือบจะกลายเป็นความหายนะ

 พล็อตหนังนั้นธรรมดามาก ไม่อยู่เหนือการคาดเดาแต่อย่างใด แต่เสน่ห์ที่หนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจให้แก่คนดู มีตั้งแต่การสร้างคาแร็กเตอร์ และวางปูมหลังของตัวละครหลัก ที่ต่างเต็มไปด้วยปมขัดแย้งในใจต่อกัน แต่ที่เหนือคาดเอามากๆ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ยังอุตส่าห์มีปมในใจกับเขาด้วย (ที่สำคัญมันทำให้หนังกระชากใจคนดูตอนท้ายได้ในที่สุด)

 ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากวีรกรรมหาญกล้าของเหล่าหนุ่มน้อยที่ออกตามช่วยชีวิตเพื่อนสาวผู้ตกอยู่ในภาวะคับขัน บทสรุปลงท้ายของหนังยังพาให้ตัวละครอีกหลายคน กล้าที่จะปลดปล่อยความรู้สึกในใจ ทั้งความกลัว ความรู้สึกผิดบาปที่อาจไม่ลบลืม หรือกระทั่งการโหยหาอิสรภาพก็ตาม สุดท้ายแล้ว “Super 8” จึงไม่ได้เป็นแค่หนังแอ็กชั่นดูเอามัน หากแต่มีแง่มุมความประทับใจมากมาย ตั้งแต่มิตรภาพของเด็กๆ รวมถึงความรักในแบบ ‘ปั๊ปปี้เลิฟ’ ที่สำคัญหนังเกือบๆ จะเดินมาสู่ความเป็น ‘คัมมิ่ง ออฟ เอจ’ เมื่อการผจญภัยครั้งนี้ ช่วยนำทางให้หนูน้อย ‘โจ’ เติบโตทางวุฒิภาวะในระดับหนึ่งเลยทีเดียว รวมทั้ง ‘แจ็ค’ ผู้พ่อ และความสัมพันธ์อันเต็มไปด้วยร่องรอยบาดหมางกับพ่อของ ‘อลิซ’ เพื่อนสนิทและหญิงสาวที่ ‘โจ’ แอบรัก หรือแม้แต่การพยายามหลบหนีไปสู่อิสรภาพของเจ้าสัตว์ประหลาด

 ด้วยความเนื้อหาเรื่องราวในหนังเกิดขึ้นช่วงปี ค.ศ. 1979 นวัตกรรมที่ทันสมัยที่สุดยุคนั้นก็คือสื่อภาพยนตร์ ดังนั้นกล้องถ่ายหนัง 8 มิลลิเมตร ก็เทียบได้กับการบันทึกภาพในแสนสะดวกสบายในรูปแบบโฮมวิดีโอที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง

 ไม่เพียงองค์ประกอบหนังมากมายที่พาเราย้อนกลับไปในปลายยุค 70’s ต้นยุค 80’s ทั้งโทนสี เกรนความละเอียดของภาพ เพลงประกอบที่เต็มไปดนตรีร็อกแอนด์โรลล์ บรรยากาศของบ้านเมืองและผู้คน ไปจนถึงสีสันของแฟชั่น...‘ธีม’ ของหนัง ยังพาเราย้อนกลับไปรำลึกถึงความประทับใจเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งได้ดูหนังไซไฟเรื่องดังอย่าง “E.T. The Extra Terrestrial” “Close Encounters of the Third Kind” หรือหนังดราม่าที่หลายคนยังจดจำได้กับ “Stand By Me”

 ผู้กำกับ เจเจ อับรามส์ ยังคงเป็นคนทำหนังที่เล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการเก็บงำเจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่ยอมเผยโฉมหน้าออกมาให้เราเห็นสักที จนกระทั่งเกือบท้ายเรื่อง (เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ใน “Cloverfield” หนังสัตว์ประหลาดทำลายโลก ที่เขารับหน้าที่อำนวยการสร้าง) ความสนุกอันเกิดจากการพยายามถ่ายหนังซอมบี้ของเด็กๆ ที่ยังเรียนแค่มัธยมแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจสูงมาก ซึ่งทำให้เรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ (ก่อนจะปล่อยมุกเต็มๆ ในตอนจบ) หลายๆ ฉากเหล่านั้น ทำได้สนุกน่าติดตามไม่ด้อยไปกว่าฉากทำลายล้างที่เหล่าทหารออกตามหาและก็ถูกไล่ล่าซะเองโดยเจ้าเอเลี่ยนผู้ดุร้าย (โดยไม่ตั้งใจ)

 ด้วยความที่หนังเล่นกับเสน่ห์ความเก่าของฟิล์ม 8 มิลลิเมตร หลายๆฉากหนังจึงสามารถหลีกเลี่ยงงานสเปเชี่ยลเอฟเฟกท์ สร้างภาพกราฟฟิกที่ต้องการรายละเอียดสูง ทุนสร้างของหนังจึงอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์เท่านั้น (ในขณะที่หนังไซไฟแนวเดียวกันอย่าง “X-Men: First Class” และ “Thor” ใช้ทุนสร้างมากกว่าถึง 3 เท่า ที่สำคัญตลกภาคต่อที่ออกฉายก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์เรื่อง “Hangover 2” ยังใช้ทุนมากกว่าตั้ง 20 ล้าน)
 
 ท่ามกลางหนังแอ็กชั่นไซไฟ ที่มีแต่ตัวละครเต็มไปด้วยเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ หนังที่มีพระเอกเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ แถมยังแฝงแง่งามมากมาย “Super 8” ถือเป็นหนังไซไฟที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งในเวลานี้

ชื่อเรื่อง : Super 8
ผู้เขียนบท - กำกับ : เจเจ อับรามส์
นักแสดง :  โจล คอร์ทนี่ย์, แอลล์ แฟนนิ่ง, ไคล แชนด์เลอร์, แกเบรียล แบสโซ, โนอาห์ เอ็มเมอริช
เรตติ้ง : น.13+ ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ชมอายุ 13 ปีขึ้นไป
วันที่เข้าฉาย : 9 มิถุนายน

"ณัฐพงษ์ โอฆะพนม"