โควิด-19

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบ "โอไมครอน" BA.4.6 หลบภูมิมากกว่าเดิมกว่าครึ่ง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กรมวิทย์ฯ เผยไทยพบ "โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.2.3.20 ในไทยแล้ว 2 ราย มีแนวโน้มแพร่เร็ว ขณะที่ BA.4.6 ซึ่งมีแนวโน้มหลบภูมิได้ดี พบในไทยจำนวน 3 ราย  ส่วน XBB.X พบแล้ว 5 ราย ทั้งหมดยังไม่พบสัญญาณที่น่ากังวล

วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2565) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นนทบุรี นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย นายแพทย์บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ ดร.พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ แถลงข่าวอัพเดทสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์ โควิด 19 และสายพันธุ์ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทยว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่าย

 

ขณะนี้สายพันธุ์หลักที่พบยังเป็น "โอไมครอน" และการติดเชื้อส่วนใหญ่ยังเป็น BA.5 เช่นเดียวกับทั่วโลก และพบสายพันธุ์ย่อยที่องค์การอนามัยโลกระบุให้เฝ้าติดตามเพิ่มขึ้น เช่น XBB , BA.4.6 และ BQ.1 โดยแต่ละพื้นที่อาจพบการระบาดสายพันธุ์ที่ต่างกัน เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา รายงานแนวโน้มสายพันธุ์ BQ.1, BQ.1.1 เพิ่มมากขึ้นแต่ยังไม่มีหลักฐานว่าสายพันธุ์ BQ.1 หรือ BQ.1.1 มีความรุนแรงกว่า BA.4 หรือ BA.5

นายแพทยศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับข่าวที่ระบุว่ามีสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" ขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีสายพันธุ์ใหม่ โดยยังเป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ที่มีการระบาดก่อนหน้านี้ เช่น เดลตา อัลฟา แกมมา โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่องค์การอนามัยโลกระบุให้เฝ้าติดตามที่เริ่มพบในประเทศไทย เช่น

 

• สายพันธุ์ BA.4.6 มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น เช่น BA.1, BA.2, BA.4 และ BA.5 พบว่า ภูมิคุ้มกันของคนที่ได้รับวัคซีนหรือติดเชื้อมาก่อน ลบล้างเชื้อหรือฆ่าเชื้อ BA.4.6 ได้น้อยลงกว่าครึ่งหนึ่ง แสดงว่าคนที่ได้รับวัคซีนหรือเคยติดเชื้อมาจะได้ผลต่อ BA.4.6 น้อยลงไปครึ่งหนึ่ง ขณะนี้พบ 3 รายแล้ว


• สายพันธุ์ BA.2.3.20 ซึ่งเป็นลูกหลานของ BA.2 มีการกลายพันธุ์อยู่หลายตำแหน่ง มีแนวโน้มแพร่เร็ว แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง ขณะนี้พบในประเทศไทยแล้ว 2 ราย ทั้งคู่หายแล้ว

ส่วน AY.103 ซึ่งเป็นลูกหลานเดลต้า ไม่ใช่สายพันธุ์ "โอไมครอน" ใหม่ เพียงแต่มีตำแหน่งกลายพันธุ์ที่เพิ่มจากเดลต้าเดิม ซึ่งยังไม่มีหลักฐานแสดงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น และมีรายงานเข้าฐานข้อมูล GISAID เพียงรายเดียว จึงยังไม่ต้องกังวลอะไร ประเทศไทยยังไม่พบ


นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่อว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (22- 28 ตุลาคม 2565) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังตรวจการกลายพันธุ์โควิด 19 จำนวน 143 ตัวอย่าง พบเป็นสายพันธุ์ BA.2 จำนวน 5 ราย สายพันธุ์ BA.4/BA.5 จำนวน 118 ราย และสายพันธุ์ BA.2.75 จำนวน 10 ราย และโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ 10 ราย และสิ่งที่น่าสนใจคือพบ BA.2.75 ถึง 10 ราย ในบางพื้นที่ ซึ่งเดิมบางสัปดาห์พบเพียง 3-5 ราย ถือว่าเพิ่มขึ้น จะต้องติดตามเฝ้าระวังต่อไป โดยอนาคตเราจะจับตาดู BQ.1 ว่าจะเพิ่มจำนวนเหมือนในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ซึ่งจะต้องเพิ่มน้ำยาตรวจจำเพาะต่อสายพันธุ์ BQ ทั้งหลายด้วย

 

ทั้งนี้โดยสรุปจำนวนสายพันธุ์ย่อยที่น่าสนใจ และองค์การอนามัยโลกระบุให้เฝ้าติดตาม ซึ่งประเทศไทยพบ และได้เผยแพร่ในฐานข้อมูล GISAID ได้แก่ BF.5 พบ 6 ราย, BF.7 พบ 2 ราย, BQ.1 พบ 2 ราย, BE.1 พบ 5 ราย, BE.1.1 พบ 2 ราย, BN.1 พบ 9 ราย, BA.4.6 พบ 3 ราย, XBB.X พบ 5 ราย และ BA.2.3.20 พบ 2 ราย ข้อมูลดังกล่าวได้รายงานให้กรมควบคุมโรคเพื่อติดตามสอบสวนโรคต่อไป

 

“การกลายพันธุ์เป็นเรื่องปกติของไวรัส "โอไมครอน" และมีการแตกลูกหลานจำนวนมาก ซึ่งยังไม่มีสัญญาณของความรุนแรงที่เพิ่มเติมจากปกติแต่อย่างใด ประกอบกับผู้คนในโลกมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นทั้งจากการติดเชื้อและการฉีดวัคซีน ทำให้อัตราการเสียชีวิตก็ลดน้อยลง สำหรับประเทศไทยยังมีมาตรการป้องกัน ใส่หน้ากาก ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดยังมีความสำคัญในการช่วยลดการติดเชื้อ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้อาจมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่าย ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่าจะทำหน้าที่เฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 อย่างเข้มข้นและ ไม่ลดน้อยถอยลง” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว

logoline