โควิด-19

พบแล้ว "โควิด19" สายพันธุ์ XBB ในไทย 2 ราย แพร่เร็วแต่อาการไม่แรง

17 ต.ค. 2565

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เฝ้าระวัง "โควิด19" สายพันธุ์ย่อย “โอไมครอน” หลังพบว่ามีแนวโน้มหลบภูมิคุ้มกันมากสุด พบคนไทยติดเชื้อสายพันธุ์ XBB แล้วจำนวน 2 ราย เชื้อ BF.7 ในไทย 2 ราย ย้ำ แพร่เร็วแต่ไม่รุนแรง

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงถึงสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์ "โควิด19" โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า วันนี้มีการเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ ข้อจำกัดต่างๆ ก็จะลดลง ซึ่งการเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงเชื้อ "โควิด19" ยังอยู่ เพียงแต่จะอยู่กันได้อย่างไร ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการเฝ้าระวังสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้ทราบข้อมูลได้ไม่ช้าเกินไป โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการตรวจสายพันธุ์ 128 ตัวอย่าง ยังเป็นโอมิครอนทั้งหมด ส่วนเดลตา อัลฟา เบตา ไม่เจอแล้ว และส่วนใหญ่ยังเป็น โอไมครอน BA.4/BA.5 126 ตัวอย่าง ซึ่ง BA.5 พบมากที่สุด ส่วน BA.2 พบเล็กน้อยเพียง 2 ตัวอย่าง โดยสายพันธุ์ BA.2.75 ในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบเลย

 

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ได้ติดตามสถานการณ์ และยังไม่พบสายพันธุ์ที่น่าห่วงกังวลเพิ่มเติม ยังเป็น โอไมครอน แต่ โอไมครอน แตกลูกหลาน จึงต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ซึ่งองค์การอนามัยโลกให้ทั่วโลกเฝ้าติดตามสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกย่อยมาจาก โอไมครอน  เช่น BA.5 ก็มีลูกหลานหลายตัว ซึ่งต้องติดตามต่อไป นอกจากนี้ พวกที่มาจาก BA.2.75 ก็ยังมีการติดตามเช่นกัน รวมทั้ง BJ.1 และ BA.4.6  ขณะที่ ยังมีสายพันธุ์ XBB คำว่า X คือ ลูกผสม (Recombinant) และ สายพันธุ์ BA.2.3.20

 

นพ.ศุภกิจ ยังกล่าวถึงสายพันธุ์ โอไมครอน ว่าขณะนี้พบการกลายพันธุ์จำนวนมาก และหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งที่อยู่ตรงสไปร์ทโปรตีน ซึ่งหากพบกลายพันธุ์มากกว่า 6 ตำแหน่งขึ้นไป เมื่อเทียบกับของเดิมอาจเร็วกว่าเป็น 100% เศษๆ หรือหากมากกว่า 7 ตำแหน่งขึ้นไปก็จะไปเร็วกว่า 200% เมื่อเทียบกับของเดิมได้ อย่างไรก็ตาม จากการเฝ้าระวังสถานการณ์การกลายพันธุ์ของประเทศไทยนั้น กรณี BA.2.75 จากฐานข้อมูล Gisaid  มีรายงานรวม 19 ราย ส่วนอีก 11 ราย เป็นตระกูลลูกหลาน BA.2.75.1, BA.2.75.2, BA.2.75.3 และ BA.2.75.5 รวมแล้วประมาณ 30 ราย

 

ส่วนโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ BJ.1 (BA.2.10.1.1) และ BM.1.1.1 (B.2.75.3.1.1.1) โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ BA.2 ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังในประเทศไทย พบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์ XBB แล้วจำนวน 2 ราย รายแรกเป็นหญิงต่างชาติอายุ 60 ปี เดินทางมาจากฮ่องกง และมาตรวจในรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง อาการไม่มาก มีไอ ขณะป่วยอาศัยโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนรายที่ 2 เป็นคนไทยอายุ 49 ปี เดินทางมาจากสิงคโปร์ ไปโรงพยาบาลเดียวกัน มีอาการไอ คัดจมูก ไม่ได้ไปไหน อยู่ในไทย มาตรวจจึงทำให้พบเชื้อ อาการไม่มากและหายเป็นปกติแล้ว

 

โดย นพ.ศุภกิจ บอกว่า แม้จะมีพันธุ์ใหม่ แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าป่วยหนัก ทั้งนี้ ส่วนสายพันธุ์ BF.7 เป็นสายพันธุ์ลูกหลานของ BA.5.2.1 มีความสามารถในการแพร่ระบาดน้อยกว่า XBB และ BQ.1.1 พบในจีน และแพร่ไปยังเบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส เดนมาร์ก และอังกฤษ รวมถึงพบในไทย 2 ราย  เป็นชายต่างชาติอายุ 16 ปี อาศัยอยู่ในไทย อยู่ที่กรุงเทพฯ โดยเราได้ส่งข้อมูลไป Gisaid ตั้งแต่ ก.ย. แต่ตอนนั้นเป็นสายพันธุ์กลุ่มของ BA.5 จนมีการแตกสายพันธุ์ออกมาก ส่วนอีกรายเป็นหญิงไทย อายุ 62 ปี บุคลากรทางการแพทย์ พบที่กรุงเทพฯ มีการรายงานข้อมูลช่วงเดือนก.ย.2565 โดยทั้งคู่ไม่ได้มีอาการรุนแรง ซึ่งทั่วโลกเจอเชื้อนี้ประมาณ 13,000 คน โดยพวกนี้เป็นเชื้อในตระกูลโอมิครอน คือ แพร่เร็วแต่ไม่รุนแรง  

 

นอกจากนี้ ไทยยังเจอสายพันธุ์ BN.1 หรือ BA.2.75.5.1 จากฐานข้อมูลจีเสดทั่วโลกพบ 437 ราย โดยไทยมีรายงาน BN.1 บนจีเสดจำนวน 3 ราย พบเพิ่มเติมในไทย 7 ราย  ส่วน BQ.1.1 ยังไม่พบในไทย แต่ที่น่าสนใจคือ ตัวนี้เพิ่มจำนวนค่อนข้างเร็ว ซึ่งอาจเป็นปัญหาในอนาคตได้ โดยทั่วโลกมีรายงานพันกว่าราย สำหรับสถานการณ์ Emerging variant  ที่กังวลเรื่องการหลบภูมิคุ้มกัน จะพบว่า มี XBB รองลงมา BQ.1.1 และ BN.1 จึงต้องมีการเฝ้าระวังและติดตามต่อไป

 

อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวย้ำว่า วันนี้ประชาชนอย่าเพิ่งตกใจ เพราะตระกูลโอมิครอน แม้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ไม่รุนแรง ซึ่งหากมีอาการก็ขอให้ตรวจหาเชื้อ จะได้ลดการแพร่เชื้อ เพราะหลักการหากลดการแพร่เชื้อ ก็ลดการกลายพันธุ์ได้ ดังนั้น มาตรการที่ใช้อยู่อย่างการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะการไปอยู่ในที่คนจำนวนมากยังช่วยได้ และการล้างมือบ่อยๆ ก็ช่วยได้เหมือนเดิมอีกเช่นกัน รวมทั้งการฉีด วัคซีนเข็มกระตุ้น ยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และในกรณีที่ฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 4-6 เดือนขอให้มาฉีดกระตุ้น

 

ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรค "โควิด" ในไทยลดลงต่อเนื่องทั้งผู้ติดเชื้อ ป่วยหนัก เสียชีวิต โดยรอบสัปดาห์ เสียชีวิต 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 และไม่ฉีดวัคซีน ส่วนอัตราครองเตียง 4.9 % กลุ่มเสี่ยงปอดอักเสบ 2.2 พันราย ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 2.9 พันราย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ ก็คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยนอนรพ.เพิ่มขึ้นได้ แต่การเสียชีวิตคาดว่าต่ำ เพราะการแพร่ระบาดคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

 

ขณะที่ดร.นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูฝน ต่อด้วยฤดูหนาว อาจทำให้ผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดมากขึ้น จึงแนะนำให้ตรวจ ATK เบื้องต้นก่อนพบแพทย์ เพราะช่วงนี้มีไข้หวัดอื่นๆ ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตรวจ RT-PCR ลดลง แต่ระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์ไม่ได้ลดความเข้มข้นลง จึงขอความร่วมมือ รพ. ส่งตัวอย่างเชื้อ กลุ่มอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต ผู้ที่มาจากต่างประเทศแล้วป่วย กลุ่มคลัสเตอร์ กลุ่มที่ภูมิฯ บกพร่อง กลุ่มที่รับวัคซีนเข็มสุดท้ายยังไม่เกิน 3 เดือน แต่มีอาการป่วยจากโควิด และกลุ่มบุคลากรการแพทย์ มายังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่งทั่วประเทศ

 

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w