โควิด-19

7 ข้อสรุป "โควิดรีบาวด์" หมอธีระ ระบุชัด การเป็นกลับซ้ำ ไม่ใช่ ติดเชื้อซ้ำ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หมอธีระ สรุปมาให้ 7 ข้อ "โควิดรีบาวด์" พร้อมระบุชัด คือ การเป็นกลับซ้ำ ไม่ใช่ ติดเชื้อซ้ำ เกิดขึ้นได้ทั้งในคนที่ติดเชื้อแล้วกินยาต้านไวรัส หรือไม่ได้กินยาต้านไวรัส

ภายหลังที่มีการเกิด "โควิดรีบาวด์" หรือการ "ติดโควิดรอบ 2" เกิดขึ้นกับ โจ ไบเดน ซึ่งสมมติฐานอาจเกิดมาจากการรับ ยาต้านไวรัส เข้าไป และยาไม่สามารถกำจัดเชื้อในร่างกายคนบางคนให้หมดไป พอหยุดยา เชื้อที่ซ่อนอยู่ก็กลับมาแบ่งตัวขึ้นมาใหม่ โดยเรื่องนี้ หมอธีระ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ค Thira Woratanarat ได้สรุปออกมาได้ 7 ข้อดังนี้

 

1. ความหมายของ Rebound

Rebound ในที่นี้แปลว่า "การเป็นกลับซ้ำ หรือปะทุกลับขึ้นมา" ไม่ใช่ "ติดเชื้อซ้ำ (Reinfection)" ดังนั้นต้องไม่สับสน ระหว่าง Rebound กับ Reinfection

 

Rebound หรือการเป็นกลับซ้ำนั้น เกิดขึ้นได้ทั้งในคนที่ติดเชื้อแล้วกินยาต้านไวรัส หรือไม่ได้กินยาต้านไวรัส

 

2. ลักษณะของการเป็นกลับซ้ำ

การเป็นกลับซ้ำ เกิดได้ 2 รูปแบบ จะเกิดพร้อมกันหรือเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ได้แก่

 

หนึ่ง ปริมาณไวรัสในร่างกายปะทุสูงขึ้นมา หลังจากที่ติดเชื้อแล้วได้ ยาต้านไวรัส จนปริมาณไวรัสลดลง หรือเวลาผ่านไปแล้วดีขึ้นจนไวรัสลดลง จนตรวจได้ผลเป็นลบ แต่กลับมีปริมาณไวรัสเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จนตรวจพบผลบวกกลับมาใหม่ เรียกว่า "Viral rebound"

 

สอง อาการกลับเป็นซ้ำ กล่าวคือ ติดเชื้อแล้วมีอาการป่วย ต่อมาได้รับยาจนดีขึ้นหรือหายป่วย หรือเวลาผ่านไปแล้วอาการดีขึ้นหรืออาการหมดไป แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมีอาการกำเริบขึ้นมาใหม่หรือแย่ลง เรียกว่า "Symptom rebound"
โอกาสเกิด Rebound นั้นมีประมาณ 5-10% ในคนที่ติดเชื้อแล้วได้รับยาต้านไวรัส 

 

ในขณะที่คนที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสนั้น งานวิจัยของทีม Harvard Medical School พบว่ามีโอกาสเกิด Viral rebound 12%, (ราว 1 ใน 8 ) และ Symptom rebound ได้มากถึง 27% (ราว 1 ใน 4)

 

3. ช่วงเวลาที่พบการเป็นกลับซ้ำ

โดยเฉลี่ยแล้ว การเป็นกลับซ้ำเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 2-8 วัน หลังจากตรวจได้ผลลบ หรือหลังจากอาการทุเลาหรือหมดไป

 

4. ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเป็นกลับซ้ำ

จากข้อมูลที่มีอยู่นั้น ไม่ว่าจะตรวจแล้วพบว่าผลบวกกลับมาซ้ำ (ขึ้น 2 ขีด) หรือมีอาการกลับซ้ำขึ้นมา ก็มักสะท้อนว่าคนคนนั้นยังมีภาวะติดเชื้ออยู่และมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ 

 

ดังนั้นเราจึงเห็นกรณีผู้ป่วยที่เกิด Rebound ในต่างประเทศ ที่ต้องเริ่มแยกตัวใหม่อีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่น

 

5. การปฏิบัติตัวกรณีเกิดเป็นกลับซ้ำ

แม้จะยังไม่มีงงานวิจัยจำเพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ระยะเวลาที่ควรแยกตัวนั้น ควรเป็นไปดังความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อสายพันธุ์ โอไมครอน ว่า ดีที่สุดคือ การแยกตัวจากคนอื่น 2 สัปดาห์ แต่หากจำเป็นต้องกลับไปทำงานหรือศึกษาเล่าเรียน การแยกตัวควรทำอย่างน้อย 10 วัน และต้องแน่ใจว่าไม่มีอาการป่วยและตรวจ ATK ซ้ำแล้วได้ผลลบ

 

แต่หากแยกตัวเพียง 5 วัน หรือ 7 วัน โอกาสที่ผู้ป่วยจะยังมีเชื้อและแพร่ต่อผู้อื่น อาจมีได้ถึง 50% และ 25% ตามลำดับ จึงไม่แนะนำให้แยกตัวช่วงเวลาสั้นเช่นนี้ เพราะจะมีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อในชุมชน

 

6. ความรุนแรงจากการเป็นกลับซ้ำ

ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ Rebound มีแนวโน้มที่จะไม่รุนแรงจนต้องทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต 

 

7. การรักษา

หากพบว่าเกิด Rebound ให้รักษาตามอาการ ประคับประคองจนผ่านพ้นระยะเวลาแยกตัว ส่วนใหญ่จะดีขึ้นเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ ยาต้านไวรัส ซ้ำ แต่หากมีปัญหาเจ็บป่วยรุนแรง การให้ยาต้านไวรัสและอืนๆ ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลรักษา

 

เหล่านี้คือความรู้ที่พยายามสรุปมาให้อ่าน ทำความเข้าใจ จะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ครับ สำคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ 

 

หากไม่ติดเชื้อ ก็ไม่เสี่ยงที่จะป่วยและเสียชีวิต ไม่เสี่ยงต่อการเกิดเป็นกลับซ้ำ และไม่เสี่ยงต่อ Long COVID "ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ...คือหัวใจสำคัญ"

 

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w

 

เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote ได้ที่นี่   

 

(https://awards.komchadluek.net/#)

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ