โควิด-19

อัปเดต "โอไมครอน" XE อาจไม่ได้เเพร่เชื้อเร็วอย่างที่คิด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"โอไมครอน" XE อาจไม่ได้เเพร่เชื้อเร็วอย่างที่กังวล เเต่ส่งผลด้อยประสิทธิภาพวัคซีน ใช้ยาต้านไม่ได้ผล กระทบ Long covid

ภายหลังพบผู้ติดเชื้อโควิด "โอไมครอน" สายพันธุ์ผสม ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานว่า สายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" อาจจะไม่ได้แพร่ติดต่อรวดเร็วอย่างที่กังวลกัน

 

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์อธิบายถึงรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสลูกผสม "โอไมครอน XE" ที่พบในประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ว่า 
 


 

"โอไมครอน" สายพันธุ์ลูกผสม "XE" เกิดจากการผสมจีโนมของสายพันธุ์ย่อย BA.1 และ BA.2  รวมกันในสัดส่วนประมาณ 35:65% ซึ่งทาง WHO ได้แจ้งเตือนให้ทุกประเทศช่วยกันจับตามอง

เนื่องจากพบการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ประมาณ 10%  และ รวดเร็วกว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 ประมาณ 43%  ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะสรุปถึงความรุนแรงในการก่อโรคโควิด-19

 

ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ได้ตรวจพบสายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" จาก "สวอป" ส่งตรวจจากผู้ติดเชื้อในกลุ่มสีเขียว ซึ่งมีอาการเพียงเล็กน้อย ปัจจุบันหายดีแล้ว และหลังจากแพทย์ผู้รักษาได้รับการแจ้งถึงสายพันธุ์ไวรัสของผู้ติดเชื้อรายนี้ ทาง รพ. ที่ดูแลผู้ติดเชื้อรายนี้ไม่พบการระบาดจากผู้ติดเชื้อรายนี้ (index case) ไปยังผู้ใกล้ชิดแต่อย่างใด ด้วยการตรวจด้วย ATK

ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ได้ถอดรหัสพันธุกรรมประมาณ 30,000 ตำแหน่ง (base) ของไวรัสตัวนี้และแชร์ไปยังฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” เป็นที่เรียบร้อยโดยได้รับลำดับหมายเลขในการสืบค้นคือ “EPI_ISL_11720091”  

อัปเดต "โอไมครอน" XE อาจไม่ได้เเพร่เชื้อเร็วอย่างที่คิด

 

เมื่อใช้โปรแกรม Nextclade v1.14.0 (https://clades.nextstrain.org/) ซึ่งเป็นโปรแกรมช่วยกำหนดสายพันธุ์  กำหนดตำแหน่งการกลายพันธุ์ และแสดงคุณภาพของรหัสพันธุกรรมที่ถอดรหัสได้ (Clade assignment, mutation calling, and sequence quality checks) เข้ามาสร้าง ต้นไม้วิวัฒนาการชาติพันธุ์ (phylogenetic tree) ร่วมกับไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์หลัก  สายพันธุ์ย่อย และบรรดาสายพันธุ์ลูกผสมจากทั่วโลก  พบว่าไวรัสตัวนี้มีรหัสพันธุกรรมจัดอยู่ในกลุ่มไวรัสเป็นลูกผสม "โอไมครอน XE" 

อัปเดต "โอไมครอน" XE อาจไม่ได้เเพร่เชื้อเร็วอย่างที่คิด

องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาแจ้งเตือนประชาคมโลกถึงการอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ลูกผสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" ที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์แบบก้าวกระโดด ซึ่งอาจส่งผลต่อ...

1. การระบาดของสายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" ที่อาจเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน "BA.2" ในอนาคตอันใกล้

2. การตรวจกรองด้วย ATK หรือ PCR ที่อาจไม่ถูกต้อง 

3. การป้องกันการติดเชื้อด้วยวัคซีนที่อาจด้อยประสิทธิภาพลง 

4. การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนติบอดีสังเคราะห์ที่อาจลดประสิทธิภาพหรือไม่ได้ผล

5. ผลกระทบต่ออาการ "ลองโควิด”

 

สายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" พบแพร่ระบาดครั้งแรกในประเทศอังกฤษตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 จากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมของประเทศอังกฤษ (ร้อยละ 20 จากตัวอย่างที่ตรวจ PCR ให้ผลเป็นบวก) พบ "โอไมครอน XE" ประมาณ 600 รายเมื่อต้นเดือนมกราคม 2565 และปลายเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มเป็น 736 ราย อันแสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่าสายพันธุ์ลูกผสม "โอไมครอน XE" อาจจะไม่ได้แพร่ติดต่อรวดเร็วอย่างที่เรากังวลกัน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์  รพ. รามาธิบดีได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), มูลนิธิรามาธิบดี,  Wellcome Trust (องค์กรการกุศลด้านการวิจัยชีวการแพทย์ที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ) และ มูลนิธิ เอดส์ เฮลท์ แคร์/เอเอชเอฟ (องค์กรระหว่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา) ให้ทำการศึกษา ธรรมชาติการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันเพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแล ป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 ในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แก่ประชาชนผ่านสื่อสารมวลชนเพื่อปรับเปลี่ยน "ความตื่นตระหนก" ให้เป็น "ความตระหนัก" ให้ประชาชนไทยได้รับทราบข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อการระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มเข้าสู่ภาวะของ "โรคประจำถิ่น" ที่ระบบสาธารณสุขของประเทศสามารถควบคุมการระบาดได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ