"โอไมครอน" วัคซีนเข็ม 3 ไม่กันติดเชื้อ ปริมาณไวรัสน้อย แต่จุดติดง่ายกว่า

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา โพสต์เฟซบุ๊ค Anan Jongkaewwattana เปิดเผยผลงานวิจัย เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิด "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" โดยระบุว่า ผลงานวิจัยชิ้นนี้มีผลน่าสนใจ เป็นการเปรียบเทียบข้อมูลไวรัสโอมิครอนที่ติดเข้าไปในผู้ป่วยที่

1. ไม่เคยได้รับวัคซีน

2. ได้วัคซีน 2 เข็ม

3. วัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 เมื่อติดแล้วเอาตัวอย่างที่แยงจมูกไปตรวจ RT-PCR จะพบว่า ค่า Ct ที่อ่านได้ (genome copy) ในแต่ละกลุ่มไม่แตกต่างกัน ทำให้สรุปไปว่า ปริมาณไวรัสที่ตรวจพบสูงพอ ๆ กัน แต่ความเป็นจริงคือค่า Ct ที่ตรวจได้เป็นปริมาณสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งอาจมาจากไวรัส หรือ เศษเซลล์ที่ไวรัสไปติดและแตกออกมาได้ 

ดร.อนันต์ ระบุว่า งานวิจัยชิ้นนี้ได้หาความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสที่แยกมาจากตัวอย่างในกลุ่มผู้ติดเชื้อในแต่ละกลุ่ม พบว่า ถึงแม้ค่า Ct จะไม่ต่าง แต่ไวรัสที่มาจากกลุ่มได้วัคซีนเข็มกระตุ้นมีปริมาณไวรัสที่มีชีวิต (คือเอาไปติดเซลล์และวัดการเพิ่มจำนวนในแล็บ) ที่น้อยกว่าอีกสองกลุ่ม ดูคร่าว ๆ ประมาณ 1 log หรือ 10 เท่า ในขณะที่ไวรัสจากกลุ่มที่ได้วัคซีน mRNA 2 เข็มมีปริมาณไวรัสที่แพร่ต่อได้ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้วัคซีน ทีมวิจัยจึงสรุปว่า การฉีดเข็มกระตุ้นที่สาม อาจจะไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ถ้าติดแล้ว ไวรัสที่จะแพร่ไปต่อให้คนอื่นจะลดลงได้ครับ

อีกข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษานี้คือ ปริมาณไวรัสที่เพาะได้จากผู้ติดเชื้อเดลตา กับ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" ที่ได้วัคซีนครบ 2 เข็ม พบว่า เดลตามีปริมาณไวรัสในตัวอย่างที่แยกได้สูงกว่าโอมิครอนพอสมควร (10 เท่าเช่นกัน) แต่ข้อมูลในกลุ่มประชากรกลุ่มนี้กลับพบว่า การแพร่กระจายของเดลตา ไปได้ช้ากว่าโอมิครอนอย่างที่เราเห็นข้อมูลกัน นั่นแสดงว่า โอมิครอนใช้ไวรัสปริมาณไม่มากในการแพร่กระจาย จุดติดง่ายกว่าเดลตามากครับ และ โอมิครอนในการศึกษานี้ ยังเป็น BA.1 ซึ่งถ้า BA.2 ซึ่งไวกว่า BA.1 อาจมีแนวโน้มที่จะใช้ไวรัสน้อยลงกว่านั้นในการแพร่กระจายไวรัสติดง่ายมาก ต้องลดปริมาณที่ปลดปล่อยด้วยหน้ากากอนามัย อากาศที่ถ่ายเทจะเจือจางไวรัสได้อีก และ เวลาสัมผัสที่น้อยลง คงต้องมาช่วยวัคซีนแล้วครับ