โควิด-19

"โควิด" องค์การอนามัยโลก เตือนระวังสายพันธุ์ลูกผสมอาจเกิดหลังโอไมครอนจบ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"โควิด" ศูนย์จีโนมฯ เผยคำเตือนองค์การอนามัยโลกระวังเกิดสายพันธุ์ลูกผสม หลังจบการระบาดโอไมครอน อย่าหยุดตรวจหาเชื้อ หรือถอดรหัวพันธุกรรมไวรัส

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์  (Center for Medical Genomics) โพสต์ข้อมูลแนวโน้มการระบาดของ "โควิด" ทั่วโลกที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่พบว่าความรุนแรงของโรคลดน้อยลง ส่งผลให้อัตราการป่วยหนัก เข้าโรงพยาบาล ลดลงตามไปด้วย โดยล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อ 10 มีนาคม 2565 ได้ออกมาย้ำเตือนและขอความร่วมมือจากทุกประเทศทั่วโลก
 

 

1. ขออย่าลดจำนวนการตรวจ (ATK, RTPCR,  และการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนม) ในช่วงนี้ เพราะจะทำให้เราตามจับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ไม่ทัน ส่งผลให้การวางแผนในการตรวจติดตาม ป้องกัน และรักษา  "โควิด"  2019 กลายพันธุ์ของ WHO ล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ 

 

 

2. ดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง (608) ให้ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแม้จะมีวัคซีนพอเพียง แต่ปรากฏว่าบางกลุ่มประชากรโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง (608) กลับไม่ได้รับการฉีดวัคซีนที่ครบถ้วน  WHO ได้ตั้งเป้าการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในทุกประเทศให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 รวมทุกกลุ่มประชากร

3. WHO ประเมินว่าจะมีสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์ลูกผสม(recombinant variants) เกิดขึ้นหลังจากโอมิครอนสงบลง แต่ด้วยภูมิคุ้มกันที่เรามีสะสมกันมาทั้งจากวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะช่วยลดผลกระทบได้

 

 

4. การกำจัดไวรัสให้หมดไปไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ที่สำเร็จมาแล้วมีเพียงตัวเดียวคือไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษ อันเกิดจากเชื้อไวรัสวาริโอลา (Variola Virus) ที่ติดต่อผ่านการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย และการกำจัดไวรัสอีกตัวที่ใกล้จะสำเร็จคือโปลิโอ (Polio หรือ Poliomyelitis หรือ Infantile paralysis) หรือบางครั้งเรียกว่า "โรคไขสันหลังอักเสบ" เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ

5. คำว่าโรคประจำถิ่น (Endemic) ทาง WHO แถลงว่าไม่ได้หมายความว่าตัวเชื้อก่อโรคจะต้องยุติการระบาดหรือสูญหายไป เช่นกรณีของ เชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์  เชื้อไมโครแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซีส ที่ก่อให้เกิดวัณโรคปอด  และเชื้อมาลาเรียที่ก่อให้เกิดโรคไข้จับสั่น ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นโรคประจำถิ่น แต่เชื้อทั้งสามก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกปีละหลายล้านคน โดยแต่ละประเทศต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เชื้อเหล่านี้กลับมาระบาดใหญ่ (Pandemic) ได้อีก

 

 

หมายเหตุ กรณีของเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ เดิมมีการรบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ตั้งแต้ปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในที่สุด ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาทต่อปีในการตรวจวินิจฉัย CD4, viral load, และการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อดูว่าไวรัสดื้อต่อยาต้านไวรัสแล้วหรือไม่ และสามารถปรับเปลี่ยนยาหากเชื้อดื้อยาได้ทันท่วงที รวมทั้งมีการจัดหายาต้านไวรัสมาใช้  มนุษย์เราได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี  เช่น ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับกลุ่มเสี่ยง หรือตรวจกรองเลือดให้ปราศจากเชื้อจุลชีพต่างๆรวมทั้งเอชไอวีก่อนให้กับผู้ป่วยที่ต้องการเลือด เป็นต้น

 

 

ดังนั้นในกรณีของไวรัสโคโรนา 2019  ที่ทางภาครัฐจะปรับให้เป็นโรคประจำถิ่นเร็วๆนี้ คาดว่าประชาชนคนไทยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างเพื่ออยู่ร่วมกับไวรัสตัวนี้ให้ได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ