โควิด-19

เสร็จศึกฆ่าขุนพล "โอไมครอน" BA.2 ปิดเกม "โรคระบาดใหญ่" ภูมิคุ้มกันทำลายได้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดข้อมูล "โรคระบาดใหญ่" ที่เคยเกิดขึ้นในโลก คาด "โอไมครอน" BA.2 ธรรมชาติสร้างมาเป็นตัวปิดเกม ห ลบภูมิต่ำภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายได้

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลธิบดี โพสต์ข้อความผ่านทางเพจเฟสบุ๊ค Center for Medical Genomics ถึงประเด็น ข้อสงสัยที่ประชาชนและสื่อมวลชนสอบถามศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี มามากในช่วงนี้ คือ "Pandemic vs Endemic" และ "โอไมครอน ฺBA.1 vs BA.2"

เสร็จศึกฆ่าขุนพล "โอไมครอน" BA.2 ปิดเกม "โรคระบาดใหญ่"  ภูมิคุ้มกันทำลายได้

ทำไมถึงเกิดการโรคระบาดใหญ่ (Pandemic)

คำตอบคือเพราะมนุษย์มีอารยธรรมหรือความซับซ้อนของระบบสังคมเพิ่มขึ้น กล่าวคือมีการปรับเปลี่ยนจากสังคมชนบทมาเป็นสังคมเมืองใหญ่มากขึ้น เกิดเส้นทางการค้าที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งโลก (globalization) ก่อให้เกิดการติดต่อระหว่าง มนุษย์ , สัตว์เลี้ยง, สัตว์ป่า และ ระบบนิเวศที่แตกต่างกัน อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เปิดโอกาสเกิด "โรคระบาดใหญ่" มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในอดีต  จนมาถึงปัจจุบัน  และจะยังมีต่อไปในอนาคต

มี "โรคระบาดใหญ่" (Pandemic) อะไรบ้างที่เคยอุบัติขึ้นมาก่อนไวรัสโคโรนา 2019

โรคระบาดใหญ่ในอดีตที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากที่สุดถึงครึ่งหนึ่งของประชากรโลกในขณะนั้น (51%) หรือราว 200 ล้านคนมาจาก "โรคกาฬมรณะ (black death)" จากแบคทีเรีย Yersinia pestis จากหนูและหมัดหนู ระหว่าง ค.ศ. 347-1351 โรคสงบไปเองโดยประชากรที่เหลือออยู่เพียงครึ่งหนึ่งของโลกคาดคะเนว่าเป็นกลุ่มที่มีพันธุกกรรมอยู่ร่วมกับแบคทีเรียตัวนี้ได้

ต่อมาเมื่อมีการค้นพบยาปฏิชีวนะ (antibiotic)  ปัญหา "โรคระบาดใหญ่" ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียก็ลดลง
 

"โรคระบาดใหญ่" ที่คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับสองคือไวรัสวาลิโอลา (Variola Virus) ซึ่งก่อให้เกิด "โรคฝีดาษ" ระบาดระหว่างคนสู่คน ได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 56 ล้านคน และถูกปราบลงได้ด้วยวัคซีนเชื้อเป็น มีการระบาดระหว่าง ค.ศ. 1520 ปัจจุบันไม่พบการระบาดแล้ว 

ย้อนกลับไปในอดีต การให้วัคซีนครั้งแรกของไทยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2378 มีบันทึกการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2378 โดยหมอบลัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley) เป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ ในช่วงเวลานั้นประสบปัญหาเรื่องการขนส่งพันธุ์หนองฝีวัวที่ใช้ปลูกฝี ซึ่งต้องนำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้หมอบลัดเลย์ต้องใช้หนองฝีจากผู้ที่ปลูกฝีขึ้นดีแล้วมาใช้ต่อ และหมอบลัดเลย์ยังได้พยายามหาวิธีการที่จะทำให้มีพันธุ์หนองฝีไว้ใช้ได้ตลอด จึงได้ทำการทดลองผลิตพันธุ์หนองฝีขึ้นเองในปลายปี พ.ศ. 2385 โดยการฉีดหนองฝีจากผู้ป่วยไข้ทรพิษเข้าไปในวัวจนประสบความสำเร็จ ทำให้ในสมัยนั้นภารกิจหลักของบรรดามิชชันนารีก็คือการเดินทางออกไปปลูกฝีตามที่ต่างๆทั่วประเทศ

"โรคระบาดใหญ่" คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับสามเป็นไวรัสเช่นกันคือ "ไข้หวัดใหญ่สเปน" ระบาดเมื่อ 100 ปีก่อน เป็นไวรัสระบาดมาจากหมู มีผู้เสียชีวิตไป 40-50 ล้านคน และยุติไปเองระหว่าง ค.ศ.  1918-1919

"โรคระบาดใหญ่" คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับสี่คือ "ไวรัส เอชไอวี (HIV)" ระบาดมาสู่คนจากลิงชิมแปนซี มีผู้เสียชีวิตไป 40-50 ล้านคน ระบาดระหว่าง ค.ศ. 1981-ปัจจุบัน สงบลงได้ด้วยยาต้านไวรัส

ผมเข้ามาทำงานทันการระบาดของเอชไอวี ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา รพ. รามาธิบดี เป็นแกนนำถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศให้กับ สปสช. เพื่อปรับเปลี่ยนยาต้านไวรัสเมื่อเชื้อดื้อยาจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้การระบาดอยู่ภายใต้การควบคุม

เสร็จศึกฆ่าขุนพล "โอไมครอน" BA.2 ปิดเกม "โรคระบาดใหญ่"  ภูมิคุ้มกันทำลายได้

"โรคระบาดใหญ่" ล่าสุดคือ "ไวรัสโคโรนา 2019" เป็นไวรัสระบาดมาจากสัตว์ อาจจะเป็นค้างคาว ตัวนิ่ม หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางประเภท มีผู้เสียชีวิตไป 5.6  ล้านคน ระบาดระหว่าง ค.ศ. 2019-ปัจจุบัน คาดคะเนว่าจะสงบลงเป็นโรคประจำถิ่นในปี 2022 ด้วยการถอดรหัสพันธุ์กรรม วัคซีน  ยาต้านไวรัส สิ่งแว้ดล้อม และตัวไวรัสเอง

 

ทำไมถึงมั่นใจว่า "โอไมครอน" จะเป็น เอนเกม (Endgame) หรือเผด็จศึกการระบาดใหญ่ (Pandemic) ผลักไวรัสโคโรนา 2019 เข้าสู่โหมด โรคประจำถิ่น (Endemic) ในปี 2022 นี้

ไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่คาดหวังว่าจะเกิดเป็นโรคประจำถิ่นในปีนี้ เพราะองค์การอนามัยโลกแถลงว่า ประชากรในทวีปยุโรปอย่างน้อยร้อยละ 60 ในเดือนมีนาคมปี 2565 จะติดเชื้อ "โอไมครอน" ตามธรรมชาติ ดังนั้นประชากรในส่วนอื่นของโลกน่าจะติดเชื้อ "โอไมครอน" ไม่น้อยกว่าในยุโรป ผนวกกับประชากรร้อยละ 50-70 ทั่วโลกกำลังได้รับวัคซีนกันทั่วหน้าอย่างน้อย 1 -2 เข็ม  ประกอบกับมียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสทยอยออกมา  และที่สำคัญคือการอุบัติขึ้นมาของ "โอไมครอน" เอง

แม้องค์การอนามัยโลกจัดให้ "โอไมครอน" อยู่ในกลุ่มไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ  Variant of concern (VOC) อันประกอบด้วย แอลฟา เบตา แกมมา และเดลตา แต่จากการถอดรหัสพันธุกรรมพบความน่าประหลาดที่ "โอไมครอน" ไม่ได้มีวิวัฒนาการไล่เลียงเกาะกลุ่มมากับ แอลฟา เบตา แกมมา และเดลตา แต่กลับมีวิวัฒนาการแตกกิ่งมาจากอู่ฮั่นโดยตรง

แอลฟา เบตา แกมมา และเดลตา กลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นไม่เกิน 60 ตำแหน่ง ในขณะที่ "โอไมครอน" กลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่น 65-100 ตำแหน่งเลยทีเดียว

เสร็จศึกฆ่าขุนพล "โอไมครอน" BA.2 ปิดเกม "โรคระบาดใหญ่"  ภูมิคุ้มกันทำลายได้

-เสร็จศึกฆ่าขุนพล

"โอไมครอน" สายพันธุ์หลัก BA.1 กลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นเฉลี่ย 65 ตำแหน่ง ทำให้สามารถระบาดเข้ามาแทนที่เดลตาทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว แถมยังสร้างภูมิคุ้มกันมายับยั้งการแพร่ระบาดของเดลตาให้ยุติการลง

"โอไมครอน" สายพันธุ์หลัก BA.1 แพร่เชื้อระหว่างคนสู่คนได้อย่างรวดเร็วแต่อาการไม่รุนแรง  แต่ดูเหมือนธรรมชาติ (nature) ยังไม่ไว้วางใจ BA.1 ว่าจะ เอนเกม ได้สำเร็จจึงส่ง "โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.2 เข้ามาสมทบ 

"โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.2 กลายพันธุ์ต่างไปจากอู่ฮั่นเฉลี่ย 85 ตำแหน่ง กลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.1 ถึง 20 ตำแหน่ง ทำให้มีอัตราการเพิ่มจำนวนสูงกว่า BA.1 ถึง 120% คาดว่าจะเข้ามาแทนที่ BA.1 ในไม่ช้า แต่ไม่ก่อนที่ BA.1 จะเข้าทำลาย(แทนที่) เดลตาจนหมดสิ้น  และบรรดานักวิทยาศาสตร์ก็พบกับความประหลาดใจอีกครั้งที่เมื่อจากวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมด้วยโปรแกรมชีวสารสนเทศจาก “Bloom Lab” พบว่า BA.2  จะเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้น้อยกว่า BA.1 หมายความว่า BA.2 จะถูกภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายได้ง่ายกว่า BA.1 อย่างไรก็ตามคงต้องรอข้อมูลทางคลินิกมายืนยันกันอีกครั้ง

เสร็จศึกฆ่าขุนพล "โอไมครอน" BA.2 ปิดเกม "โรคระบาดใหญ่"  ภูมิคุ้มกันทำลายได้
โปรแกรมชีวสารสนเทศจาก Bloom Lab แสดงให้เห็นว่า BA.2 เลี่ยงภูมิคุ้มกันได้น้อยกว่า BA.1 เพราะขาด G446S ในขณะที่ BA.3 น่าจะเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ใกล้เคียงกับ  BA.1 เพราะแชร์ตำแหน่งกลายพันธุ์ที่  417, 446, 484 และอีกหลายตำแหน่ง

เหมือนธรรมชาติจะจงใจ เสร็จศึกฆ่าขุนพล (BA.2) กันเลยทีเดียว

คำพังเพยไทย
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล แปลว่า กำจัดบุคคลที่เคยช่วยเหลือ หรือร่วมแรงร่วมใจกันมา เมื่อบรรลุผลสำเร็จตามที่หมาย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ