โควิด-19

"โอไมครอน" BA.2 แพร่เร็วกว่า 1.5 เท่า พบในเด็ก 5-17 ปี จ่อเป็นสายพันธุ์หลัก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จับตา "โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.2 หมอเฉลิมชัยเผยข้อมูล แพร่เร็วกว่า BA.1 ถึง 1.5 เท่า แถมมักพบในเด็ก 5-17 ปี จ่อเป็นสายพันธุ์หลัก

อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" สายพันธุ์ BA.2 ที่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแล้ว 14 ราย และมีแนวโน้มว่าจะมีการแพร่ระบาดได้เร็วกว่า โควิด "โอไมครอน" สายพันธุ์ BA.1 ล่าสุด "หมอเฉลิมชัย" นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ค Chalermchai Boonyaleepun ระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า ล่าสุด ไวรัส "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อยที่ 2 (BA.2) แพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่ 1 (BA.1) 1.5 เท่า หลังจากไวรัส "โอมิครอน" ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักของโลก ในการก่อให้เกิดโรคโควิด โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือนเศษ

ส่วนสาเหตุที่ BA.2 มีแนวโน้มแพร่กระจายเร็วกว่า หมอเฉลิมชัย ระบุว่า เนื่องมาจาก "ไวรัสโอมิครอน" มีโครงสร้างหนามที่เปลี่ยนแปลงไปมาก จึงทำให้มีความสามารถในการแพร่ระบาดมากกว่าไวรัสเดลตา 4-6 เท่า ต่อมาก็พบว่า ไวรัสดังกล่าว มีการแยกออกเป็น 3 สายพันธุ์ย่อย (Subvariant) คือ BA.1 , BA.2 , BA.3 โดยที่ขณะนี้ สายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง เป็นสายพันธุ์หลัก ประมาณ 98% ใน 160 ประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการตรวจพบสายพันธุ์ย่อยที่สอง ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2564 และทำท่าว่าจะแพร่เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง โดยข้อมูลล่าสุด พบในประเทศต่าง ๆ 54 ประเทศแล้ว โดยมีประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศแรกที่พบ และในขณะนี้ผู้ติดเชื้อในเดนมาร์กกว่าครึ่ง เป็นสายพันธุ์ย่อยที่สองแล้ว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเดนมาร์ก และผู้บริหารของสถาบันแห่งชาติเดนมาร์ก ได้ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์ผู้ติดโควิดของเดนมาร์กกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสายพันธุ์ย่อยที่สองเป็นสายพันธุ์หลัก และจากการคำนวณความสามารถเบื้องต้นพบว่า สายพันธุ์ย่อยที่สองแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง 1.5 เท่า และมักจะแพร่ระบาดในเด็กอายุ 5-17 ปี แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า สายพันธุ์ย่อยที่สอง จะทำให้เกิดโรคที่รุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลมากกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง

ในขณะที่ประเทศอังกฤษ ได้จัดให้สายพันธุ์ย่อยที่สอง อยู่ในกลุ่มที่จะต้องทำการตรวจสอบเพิ่มเติม (VUI)โดยพบว่าประสิทธิผลของวัคซีนต่อสองสายพันธุ์ย่อยนั้น ใกล้เคียงกันคือ ถ้าฉีด 2 เข็ม นานกว่า 6 เดือน จะมีประสิทธิผลเหลือเพียง 9-13% ถ้าฉีดกระตุ้นเข็ม 3 นาน 2 อาทิตย์หลังจากกระตุ้น จะมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นเป็น 63-70% ใกล้เคียงกัน และยังพบในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน สิงคโปร์ อินเดียฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ และพบในประเทศไทยแล้วด้วยเช่นกัน จึงสามารถสรุปได้ว่า 

 

  1. สายพันธุ์ย่อยที่ 2 แพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยที่ 1 มากถึง 1.5 เท่า แต่ความรุนแรงของโรคยังใกล้เคียงกัน
  2. ระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เกิดจากการฉีดวัคซีน สามารถรับมือกับทั้งสองสายพันธุ์ย่อยได้ใกล้เคียงกัน โดยลดลงจากที่สามารถรับมือกับเดลตาค่อนข้างมาก
  3. พบไวรัสสายพันธุ์ย่อยที่สองในประเทศไทยแล้ว

กรณีดังกล่าว จะส่งผลให้

 

  1. สายพันธุ์ย่อยที่สอง อาจจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของโลกแทนสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่งได้ในเร็ววันนี้ 
  2. ทำให้สามารถพบการติดเชื้อซ้ำ คือ คนที่เคยติดโควิดและหายดีแล้ว ก็สามารถกลับมาติดโควิดซ้ำเป็นครั้งที่สองได้อีก โดยเฉพาะในกรณีต่างสายพันธุ์ย่อย

 

จึงควรมีความระมัดระวังและมีมาตรการต่าง ๆ ได้แก่

 

  1. ประชาชนยังต้องรักษาวินัยในการป้องกันโรคระบาด เพราะสายพันธุ์ย่อยที่สองแพร่เร็วและง่ายกว่าสายพันธุ์ย่อยที่หนึ่ง
  2. ภาครัฐยังไม่ควรส่งสัญญาณให้สาธารณะเข้าใจว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการ Test&Go หรือการคาดหมายว่าจะเป็นโรคประจำถิ่น เพราะจะทำให้ความระวังของสาธารณะลดลง เป็นโอกาสให้เกิดการแพร่ระบาดของโอมิครอนเพิ่มขึ้นมาได้ปัจจุบัน การติดโควิดในประเทศไทยถือว่าทรงตัว ยังไม่ใช่ช่วงขาลง
  3. ควรเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 โดยเร็ว เพราะได้ผลดีกว่า 2 เข็มชัดเจน การตั้งเป้าฉีดเข็มสอง 80% จึงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องปรับเป้าหมายเป็นฉีดเข็มสามให้ได้ 80% 
  4. เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงได้แก่ ผู้สูงอายุและกลุ่มโรคประจำตัว ให้ได้100% หรือให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตลง
  5. ทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจร่วมกันว่า "โอมิครอน" ยังอยู่ในสถานการณ์ทรงตัว ไม่ใช่ช่วงขาลง ยังคงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการและการระมัดระวังอยู่ในระดับเท่าเดิม 
  6. ไม่ควรปล่อยให้มีการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยเข้าใจว่ามีอาการรุนแรงน้อย เพราะสามารถติดเชื้อซ้ำได้ และบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนเรื้อรังที่เรียกว่า Long Covid

 

"โอไมครอน" BA.2 แพร่เร็วกว่า 1.5 เท่า พบในเด็ก 5-17 ปี จ่อเป็นสายพันธุ์หลัก

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ