โควิด-19

หมอสันต์ ชี้ คนทั้งโลกจะติด "โอไมครอน" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เผย ผลวิจัย ของต่างประเทศ ชี้ คนทั้งโลกจะติด "โอไมครอน" ในปีนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เผย ผลวิจัย ของต่างประเทศ ชี้ คนทั้งโลกจะติด "โอไมครอน" ในปีนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และโควิดจะกลายเป็นโรคประจำถิ่น

 

เมื่อ 2 มกราคม 2565 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ได้เขียนข้อมูลความรู้ทางด้านสุขภาพลงในบล็อกส่วนตัวของตัวเอง เกี่ยวกับ "โอไมครอน" โดยมีใจความว่า

 

ข่าวดีที่ 1. ก็คือมหาวิทยาล้ยเคปทาวน์ที่อัฟริกาใต้ ได้เปิดเผยงานวิจัยรอตีพิมพ์ใหม่ที่สำคัญมากฉบับหนึ่งออกมา ว่าได้ทำวิจัยในคนอัฟริกาใต้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด "โอไมครอน" สามกลุ่ม คือ (1) กลุ่มที่ได้วัคซีนจอห์นสัน (2) กลุ่มที่ได้วัคซีนไฟเซอร์ (3) กลุ่มที่ไม่ได้วัคซีนมาก่อน พบว่าแม้ว่าทุกกลุ่มจะสร้างภูมิคุ้มกันชนิดจับทำลายตัวเชื้อโรคโดยตรง (neutralizing antibody) ได้น้อยกว่าที่ควร (ซึ่งเรารู้จากงานวิจัยอื่นมาพักหนึ่งแล้ว) ก็จริง แต่งานวิจัยนี้ยืนยันว่า 80% ของผู้ป่วยทุกกลุ่ม สามารถสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 และ CD8 ที่เจาะจงทำลายเชื้อโอไมครอนได้ดีทุกกลุ่ม

เพื่อจะให้ท่านเข้าใจประโยชน์ของผลวิจัยนี้อย่างถ่องแท้ ขอผมอธิบายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์อย่างย่อๆสักเล็กน้อย ว่าระบบภูมิคุ้มกันของเรานี้แบ่งออกเป็นสองระบบใหญ่คือ

 

  • ระบบป้องกันแบบปูพรม (innate immunity) กับ
  • ระบบป้องกันแบบเจาะจง (adaptive immunity)

โดยที่ระบบป้องกันแบบเจาะจงนี้ยังแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ

(1) ระบบสร้างภูมิคุ้มกัน (แอนตี้บอดี้) ไปจับทำลายตัวเชื้อโรคโดยตรง (HIR)

(2) ระบบทำงานโดยเซล (CMIR)

 

ซึ่งระบบทำงานโดยเซล (CMIR) นี้มีเซลเม็ดเลือดขาวเป็นกำลังหลักอยู่สองชนิดคือ

(1) เซลช่วยประสานงาน (Helper T Cell หรือ CD4) ซึ่งผลิตสารไปกระตุ้นให้ทุกส่วนของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานสอดประสานกัน

(2) Cytotoxic T Cell หรือ CD8 ซึ่งเป็นเซลที่ทำหน้าที่ฆ่าทำลายทั้งตัวไวรัสและตัวเซลที่ถูกไวรัสเจาะกินไปเรียบร้อยแล้ว

โดยที่ยิ่งนานไปทั้ง CD4 และ CD8 ก็ยิ่งทำงานของตัวเองได้ดีขึ้นๆเพราะมีระบบจดจำข้อมูลที่ดี

ที่ผมบอกว่าผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเคปทาวน์นี้เป็นข่าวดีก็เพราะแต่เดิมเมื่อเห็น "โอไมครอน" หลบรอดวัคซีนได้เราก็ใจเสียว่าวัคซีนที่ฉีดไปบ้อลัดเสียแล้ว ต้องรอวัคซีนใหม่ แต่งานวิจัยนี้บอกเราว่าวัคซีนที่ฉีดไปแม้จะสร้างภูมิคุ้มกันแบบจับทำลายตัวเชื้อตรงๆ (HIR) ได้น้อยจนหลบการติดเชื้อไม่พ้น แต่มันก็ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 และ CD8 ที่เจาะจงทำลาย "โอไมครอน" ในระยะยาวได้ดีมาก 

 

ดังนั้นวัคซีนที่ฉีดไปก็ดี หรือภูมิคุ้มกันเก่าที่มีมาจากเชื้อรุ่นก่อนก็ดี ไม่ได้เสียเปล่า มันได้ช่วยสร้างพื้นฐานภูมิคุ้มกันชนิดผ่านเซล (CMIR)ไว้ให้เราปราบเชื้อ "โอไมครอน" ในระยะยาวได้ และนี่เป็นคำอธิบายได้อย่างดีว่าทำไมเมื่อติดเชื้อโอไมครอนแล้วมันไม่รุนแรงแถมยังหายเร็วอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังทำให้เราใจชื้นขึ้นอีกประเด็นหนึ่งว่าแม้ไปภายหน้ามีสายพันธุ์ใหม่ๆเกิดขึ้น

 

มันมีแนวโน้มว่าแม้แอนตี้บอดี้โดยตรงอาจจะเวอร์คไม่ดี แต่ CD4 และ CD8 จะเวอร์คดีเสมอ ภาษาหมอเรียกว่ามันมี cross response ข้ามสายพันธ์ได้ในส่วนของระบบภูมิคุ้มกันผ่านเซล ซึ่งเผอิญเป็นด่านที่สำคัญที่สุดของระบบภูมิคุ้มกันในระยะก็ว่าได้

 

ข่าวดีที่ 2. ก็คือก่อนหน้านี้ราวสองสัปดาห์ มหาวิทยาลังฮ่องกงได้แถลงผลวิจัยของตนว่าพวกเขาได้ทำวิจัยแบบ ex vivo ตัดเอาเนื้อเยื่อปอดและหลอดลมของอาสาสมัครมาเพาะเลี้ยง แล้วใส่เชื้อโควิดสายพันธ์ต่างๆรวมทั้งโอไมครอนเข้าไปแล้วก็สรุปการวิจัยว่าโควิดสายพันธ์ "โอไมครอน" เติบโตในเนื้อเยื่อแขนงหลอดลม (bronchus) ได้มากกว่าโควิดสายพันธ์ออริจินอลถึง 70 เท่า แต่ว่าเติบโตในเนื้อเยื่อถุงลม (alveoli) ได้น้อยกว่าสายพันธ์ออริจินอล 10 เท่า

 

ทำให้เรารู้ว่าที่ "โอไมครอน" ติดต่อได้ง่ายพรวดพราดนี้ไม่ใช่เพราะมันแรง แต่เพราะมันอยู่ตื้น แต่ขณะเดียวกันติดแล้วมันก็จะไม่รุนแรง เพราะความรุนแรงของโรคโควิดนั้นเรารู้มาสองปีแล้วว่าเกิดจากปฏิกริยาตลุมบอน (cytokine storm) ระหว่างเชื้อโรคกับภุมิคุัมกันของร่างกาย สมรภูมิคือในถุงลม (alveoli) ซึ่งเป็นส่วนลึกที่สุดของปอดที่เมื่อเชื้อไปถึงนั่นแล้วยากที่จะไล่ออกมาได้ งานวิจัยของมหาวิ่ทยาลัยฮ่องกงทำให้เรายอมรับการติดโอไมครอนว่ามันติดง่ายจนแม้จะพยายามป้องกันแล้ว แต่ก็ไม่กลัวเมื่อติดเพราะกลไกการดำเนินของโรคมันไม่รุนแรง เพราะมันไม่ลงปอด

 

ข่าวดีที่ 3. เช้าวันนี้เอง รัฐบาลอัฟริกาใต้ได้ประกาศยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ซึ่งใช้มาอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนมค.ปี 2020 เพราะได้ประเมินสรุปว่าโรคได้ผ่านจุดสูงสุดทั่วประเทศและมุ่งสู่ขาลงอย่างรวดเร็วแล้ว คือประมาณ 93% ของประชากรมีภูมิคุ้มกันเรียบร้อยแล้ว อัตราป่วยลดลงจากช่วงพีคของโอไมครอนเมื่อกลางเดือนธค. 37,875 รายต่อวัน เหลือ 11754 รายต่อวันในวันนี้ ขณะที่อัตราตายลดจากช่วงพีคของเดลต้าเมื่อเดือนมค.2021 ซึ่งตายมากถึง 844 รายต่อวันเหลือเพียง 84 รายต่อวันในวันนี้

 

ความสำเร็จของการควบคุมโรคทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากวัคซีน เพราะเพิ่งฉีดวัคซีนครบสองเข็มไปได้ 27% เท่านั้นเอง แต่ความสำเร็จนี้เกิดจากการอาศัยใบบุญของเชื้อ "โอไมครอน" ซึ่งแพร่เร็วและมัอัตราตายต่ำมาทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) แทนวัคซีน

 

ผมคาดหมายว่าอังกฤษก็จะประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมทั้งหลายลงภายในเวลาไม่เกิน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เพราะการดำเนินโรคในอังกฤษก็ไม่แตกต่างจากในอัฟริกาใต้ ผมเดาต่อไปว่าในปีหน้านี้คนทั้งโลกจะติดเชื้อโอไมครอนกันหมด และทั้งโลกจะยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์โควิดอย่างสิ้นเชิงปล่อยให้เป็นโรคประจำถิ่น และปล่อยให้มีการเดินทางท่องเที่ยวทำมาค้าขายกันตามปกฺติอีกครั้ง

 

โปรดสังเกตว่าคำคาดเดาของผมไม่เหมือนที่นักการเมืองและสื่อสารมวลชนทั่วโลกกำลังประโคมข่าวให้กลัวโควิดกันไม่เลิก ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมเอาเองนะครับ ผมคาดเดาไปตามผลวิจัยวิทยาศาสตร์และข้อมูลที่เปิดเผยโดยตัวแพทย์หรือสถาบันทางการแพทย์ล้วนๆ ไม่ได้อาศัยข้อมูลที่ผ่านมาทางนักการเมืองหรือสื่อสารมวลชนเลย ท่านจะเลือกเชื่อใคร ก็เลือกเอาแบบที่ชอบที่ชอบเถิด

 

ถ้าเชื่อหมอสันต์ ขอให้ท่านมาเริ่มต้นเตรียมตัวติดเชื้อ "โอไมครอน" ซึ่งเป็นของที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้กันดีกว่า ปราการที่คุ้มกันเราจากการตายจากการติดเชื้อได้ดีที่สุดนอกจากฉีดวัคซีนให้ครบสองเข็มแล้ว ก็คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunity system) ของเราเอง ดังนั้นท่านที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบสองเข็มก็ควรเร่งฉีดให้ครบเสียก่อน ส่วนท่านที่ฉีดครบแล้วไม่ว่าท่านจะเลือกฉีดเข็มสามเข็มสี่หรือไม่นั่นสุดแล้วแต่ท่าน แต่ไม่ว่าจะฉีดเข็มสามเข็มสี่หรือไม่อย่างไรก็ตามขอให้ท่านขยันดูแลระบบภูมิคุ้มกันของท่านเองให้ท็อปฟอร์มไว้ตลอดปีใหม่

 

ระบบภูมิคุ้มกันนี้มันจะเวอร์คดีที่สุดถ้าท่านทำเจ็ดอย่างต่อไปนี้ คือ

  • กินอาหารพืชเป็นหลัก แบบกินให้หลากหลาย ทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว นัท สมุนไพร เครื่องเทศ และธัญพืชไม่ขัดสี
  • ออกกำลังกายทุกวัน
  • ดูแลการนอนหลับของท่านให้ดี
  • ดูแลน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่าอ้วน
  • จัดการความเครียด อย่าเครียด
  • ออกแดดทุกวัน

 

ถ้าบังคับใจตัวเองให้กินอาหารพืชที่หลากหลายไม่ได้ ก็ควรกินวิตามินและอาหารเสริมช่วย ถ้าท่านจะซื้อวิตามินและอาหารเสริมกิน ผมแนะนำให้ท่านเลือกซื้อกินสารในสามกลุ่มต่อไปนี้ซึ่งมีหลักฐานวิทยาศาสตร์ว่าช่วยระบบภูมิคุ้มกันได้ คือ (1) วิตามินที่ช่วยระบบภูมิคุ้มก้นได้แก่ วิตามิน A, B6, B12, C, D, E, และโฟเลท (2) แร่ธาตุที่ช่วยระบบภุมิคุ้มกันคือสังกะสี เหล็ก เซเลเนียม ทองแดง แมกนีเซียม (3) อาหารเสริมที่ช่วยระบบภูมิคุ้มกันคือ

(3.1) ไขมันโอเมก้าสาม

(3.2) สารออกฤทธิ์พิเศษจากพืชที่เรียกว่า Phytochemicals เช่น carotinoids, polyphenols

(3.3) สารแอนติ้ออกซิแด้นท์ เช่น lycopene, lutein

(3.4) สารในกลุ่ม Prebiotic เช่น กากใย และ probiotics เช่น คีเฟอร์ โยเกิร์ต เซาร์ครูท คอมบูชา โฮลวีท ขนมปังซาวโด ถั่วเน่า เทมเป้ มิโสะ กิมจิ เป็นต้น  

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ