แรงไม่ตก "โอไมครอน" ไทย ติดอันดับ 2 ของเอเชีย หลังยอดพุ่งหลักพัน กระจาย 37 จว.

อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ "โอไมครอน" ของประเทศไทย ที่ยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด "โอไมครอน" ในประเทศไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการตรวจจีโนมคัดแยกสายพันธุ์ในผู้ติดเชื้อโควิด ทั้งจากกลุ่มเดินทางจากต่างประเทศ กลุ่มมีอาการรุนแรงและกลุ่มคลัสเตอร์การแพร่ระบาดในประเทศ ข้อมูลสะสมตั้งแต่เปิดประเทศ วันที่ 1 พ.ย.-30 ธ.ค. 2564 พบผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน" (Potentially) รวม 1,145 ราย ในจำนวนนี้เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ 620 ราย และติดในประเทศ 525 ราย กระจาย 37 จังหวัด

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน" เพิ่มขึ้น (30 ธ.ค.2564) 211 ราย เป็นผู้มาจากต่างประเทศ 43 ราย ติดเชื้อในประเทศ 168 ราย ทั้งนี้ แนวโน้มพบว่า เจอการติดเชื้อในประเทศมากกว่ามาจากต่างประเทศ ซึ่งการระบาดในประเทศเป็นวง 2 วง 3 น่าจะมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขตสุขภาพที่พบผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน" มากที่สุด คือ เขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร จำนวน 325 ราย เขตสุขภาพที่ 7 จำนวน 309 ราย พบที่ จ.กาฬสินธุ์ มากที่สุด และเขตสุขภาพที่ 11 จำนวน 128 ราย พบที่ จ.ภูเก็ต มากที่สุด

ทั้งนี้ นพ.ทนง วีระแสงพงษ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์ "โอไมครอน"
รายแรกแล้ว เป็นหญิงอาชีพนักศึกษา ผู้ป่วยฝึกงานอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี คือเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.64 ผู้ป่วยรู้สึกตัวว่าไม่สบาย เจ็บคอ จึงได้ซื้อชุดตรวจ ATK มาตรวจด้วยตนเอง พบว่าผลเป็นบวก จึงได้โทรศัพท์แจ้งให้มารดาทราบ พร้อมกับเดินทางกลับบ้านที่อำเภอกันทรลักษ์ในวันเดียวกัน กักตัวอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน วันที่ 27 ธ.ค.ได้ทำการตรวจหาเชื้อ แบบ RT-PCR ผลออกมาพบติดเชื้อโควิด-19 "สายพันธุ์โอไมครอน" เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงได้นำตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์

อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทย ติดเชื้อสายพันธุ์ "โอไมครอน" ขึ้นอันดับที่ 15 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 2 ของทวีปเอเชีย โดยมีประเทศอินเดียติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวมากที่สุดในเอเชีย รวมถึงอยู่ในอันดับที่ 1 ของอาเซียนด้วย