โควิด-19

"โอไมครอน" ส่งสัญญาณดี เป็นวัคซีนธรรมชาติ ยับยั้ง-สร้างภูมิคุ้มกันเดลตา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อ.จุฬาฯ เผยผลวิจัย "โอไมครอน" ส่งสัญญาณดี ฉายแววเป็น "วัคซีนธรรมชาติ" ยับยั้ง และสร้างภูมิคุ้มกัน กวาดเดลตาหมด จบในเดือน ก.พ.-มี.ค.2565 หากตั้งรับดี ฉีดวัคซีนทั่วถึง

อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน" หรือ "โอมิครอน" Omicron ล่าสุดเริ่มส่งสัญญาณดี เมื่อ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์  อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความอ้างอิงผลวิจัยจากแอฟริกาใต้ ว่า ข่าวดีครับ  โอไมครอน มีแววจะเป็น "วัคซีนธรรมชาติ" ในการยับยั้งโควิดสายพันธุ์เดลตาได้

 

จากผลการวิจัยล่าสุดของประเทศแอฟริกาใต้ ที่ว่า "การติดเชื้อโอไมครอน จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อเดลตาด้วย" จริง ๆ เรื่องนี้เป็นสมมติฐานที่ในกลุ่มนักวิชาการ (ฝั่งที่มองโลกในแง่ดี) กับการระบาดของ "Omicron" พูดถึงกันมาประมาณสักเดือนนึงได้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงการแพร่ระบาดสูง แต่ความรุนแรงต่ำกว่า "เดลตา" ของ "โอไมครอน" ที่เกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ (รวมถึงผลที่คล้าย ๆ กันในประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา australia และเดนมาร์ก) เพราะพฤติกรรมของ "โอไมครอน" ก็คล้าย ๆ กับสมัยเริ่มต้นของเดลตา ที่ระบาดไปที่ไหนก็ไปแทนที่สายพันธุ์เดิม ๆ ได้ เพราะความสามารถในการติดเชื้อ และเพิ่มจำนวนตัวในร่างกายผู้ป่วยนั้น ดีกว่าสายพันธุ์เดิมมาก (คือ ถึงคน ๆเดียว ติดหลายสายพันธุ์พร้อมกัน สุดท้ายเดลตาก็ชนะ) ตอนนี้ "โอไมครอน" ก็มีแนวโน้มจะเข้าแทนที่ ขับไล่เดลตา (ซึ่งอาการรุนแรงมาก) ในแต่ละประเทศให้หายไปได้เช่นกัน 

 

 

"โอไมครอน" ส่งสัญญาณดี เป็นวัคซีนธรรมชาติ ยับยั้ง-สร้างภูมิคุ้มกันเดลตา

เนื่องจากมันมักจะติดเชื้อ และเพิ่มเติมตัวได้ดีกว่าที่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจช่วงบน ของร่างกายผู้ป่วย และ ความที่มันแพร่กระจายได้ง่าย ใครติดเชื้อก็แสดงอาการออกมาอย่างรวดเร็วใน 2-3 วัน อาการป่วย อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไข้หวัดตามฤดูกาล และหายได้ในเวลาอันสั้นใน 7 วัน (ถ้าเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว เช่น ได้รับการฉีดวัคซีน หรือเคยป่วยด้วย covid สายพันธุ์เดิม ๆ มาก่อน) คลื่นการแพร่ระบาดของมัน ก็จะคล้ายกับการระดมฉีด "วัคซีนตามธรรมชาติ" อย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศนั้น แถมเป็นวัคซีนที่มี IgA (immunoglobin A) ซึ่งไม่สามารถสร้างได้จากการผลิตวัคซีนตามปกติ เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเราเตรียมตัวรับมือได้ดี ระดมฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงเพียงพอ (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ) กดความชันของกราฟการแพร่ระบาดเอาไว้ เราน่าจะผ่านคลื่น "โอไมครอน" ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ไปได้ และหวังว่า จะช่วยกวาดเอา "สายพันธุ์เดลตา" ที่รุนแรงกว่า ออกไปด้วย เหมือนในประเทศอื่นได้ (สาธุ)

ทั้งนี้ ดร.เจษฎา ได้ยกผลวิจัย จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้พบว่า ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ "โอไมครอน" อาจมีภูมิคุ้มกัน "สายพันธุ์เดลตา" ด้วย โดยการค้นพบอาจมีนัยสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่การติดเชื้อโอไมครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสายพันธุ์โอไมครอนกับเดลตาคือ อาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า

 


“การติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดลบล้างฤทธิ์ (Neutralizing Antibody) ที่สามารถต้านไวรัสสายพันธุ์เดลตา เนื่องจากโอไมครอน สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้การติดเชื้อซ้ำกับเดลตามีโอกาสน้อยลง”

 

ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย Khadija Khan จากสถาบันวิจัยสุขภาพแอฟริกาเขียนไว้ในผลการวิจัยของพวกเขา ในการวิจัยเกิดจากการติดตามผู้ติดเชื้อจำนวน 13 คน โดย 11 คนในนั้นติดเชื้อด้วยตัวแปรโอมิครอน โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 7 ราย ที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยได้ทั้งวัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ johnson & johnson โดยการตอบสนองของแอนติบอดีของผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน ดูเหมือนจะเพิ่มการป้องกันตัวแปรเดลตาได้มากกว่า 4 เท่าในสองสัปดาห์ หลังจากที่ผู้เข้าร่วมลงทะเบียนในการศึกษา โดยผู้เข้าร่วมยังแสดงให้เห็นว่า ความสามารถของแอนติบอดีในการสกัดกั้นการติดเชื้อโอมิครอนได้เพิ่มขึ้น 14 เท่า

 

ดังนั้น หากสายพันธุ์โอมิครอนแทนที่เดลตา และไม่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ในอดีต ความร้ายแรงของ COVID-19 จะลดลง และการติดเชื้ออาจเปลี่ยนไปรบกวนบุคคลและสังคมน้อยลง 

 

อย่างไรก็ตาม การศึกษายังไม่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ในสาขานี้ และยังไม่ชัดเจนว่าการป้องกันที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากแอนติบอดีที่มาจากโอมิครอน, การฉีดวัคซีน หรือภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อนหรือไม่ แต่บุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจากแอฟริกาใต้และสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน จะมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง โดยผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีโอกาสเกิดโรคร้ายแรงน้อยกว่า 70% เมื่อเทียบกับเดลตา แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นข้อมูลเบื้องต้นและมีความไม่แน่นอนสูง” เนื่องจากโอไมครอนยังไม่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในกลุ่มอายุสูงอายุและกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่นักระบาดวิทยาเตือนว่า แม้โอมิครอนจะรุนแรงน้อยกว่าเดลตา แต่ก็ยังสามารถสร้างภาระให้โรงพยาบาลได้ง่าย ๆ ด้วยการแพร่กระจายเร็วกว่าเดลตามาก 

 

โดยองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า โอมิครอนกำลังแพร่กระจายเร็วกว่าเชื้อโควิดรุ่นก่อน ๆ การศึกษาจากฮ่องกงพบว่าโอมิครอนแพร่กระจายได้เร็วกว่า 70 เท่าในทางเดินหายใจของมนุษย์ แต่การติดเชื้อในปอดนั้นรุนแรงน้อยกว่า

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ