โควิด-19

"โอไมครอน" ยอดพุ่ง ติดเชื้อกว่า 90 ประเทศ สหราชอาณาจักร ทุบสถิติสูงวันที่ 3

"โอไมครอน" ยอดพุ่ง ติดเชื้อกว่า 90 ประเทศ สหราชอาณาจักร ทุบสถิติสูงวันที่ 3

18 ธ.ค. 2564

ยอดติดเชื้อโควิด "โอไมครอน" พุ่งกว่า 90 ประเทศ รวมกว่า 34,000 ราย "สหราชอาณาจักร" ทำลายสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 3

(18 ธ.ค.2564) รายงานสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ "โอไมครอน" ซึ่งถูกตรวจพบในแอฟริกาใต้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีรายงานว่าในรอบ 24 ชั่วโมง ถึงเวลา 7.05 น. พบผู้ติดโรคระบาดโควิด-19 
สายพันธุ์ "โอไมครอน" สะสมรวมเป็น 34,182 ราย โดยพบการระบาดถึง 92 ประเทศทั่วโลก

 

สำหรับ 10 อันดับแรกของโลกที่ติดเชื้อสายพันธุ์ "โอไมครอน" ได้แก่ สหราชอาณาจักร 14,909 ราย (+3,201) เดนมาร์ก 11,559 ราย (+2,550) นอร์เวย์ 2,060 ราย(+268) แอฟริกาใต้ 1,247 ราย(+113) สหรัฐอเมริกา 679 ราย(+258) แคนาดา 488 ราย(-) อาเจนติน่า 454 ราย(+452) ฝรั่งเศส 347 ราย(+37) ออสเตรเลีย 344 ราย(+108) และเยอรมนี 242 ราย (+126) 

นายโจ พาห์อาลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเทศแอฟริกาใต กล่าวว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงผ่านมาถึงเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 20,713 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสมเป็น 3,276,529 ราย อยู่อันดับที่ 18 ของโลก ขณะที่ผู้เสียชีวิตรายใหม่มี 35 ราย ทำยอดเสียชีวิตสะสมเป็น 90,297 ราย

 

 

นายโจ พาห์อาลา กล่าวว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ใหม่นี้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็วในเมืองกัวเต็ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางเศรษฐกิจ มีประชาชนเดินทางเข้าออกเมืองจำนวนมาก โดยมาจากทุกที่ของประเทศ เพราะฉะนั้น ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงมากขึ้น อัตราการติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 
 

ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด ของ "สหราชอาณาจักร" ยังคงน่าเป็นห่วง ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันทำลายสถิติใหม่เป็นวันที่ 3 แล้ว โดยช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อมากถึง 93,045 คน ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่นี้  3,201 คน ติดเชื้อ "โอไมครอน" ซึ่งเป็นจำนวนที่พบมากที่สุดภายใน 1 วันของสหราชอาณาจักร 

 

ยอดผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน" ในสหราชอาณาจักรตอนนี้ มีทั้งสิ้น  14,909 คนแล้ว และ "โอไมครอน" กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในแคว้นสก็อตแลนด์ และกรุงลอนดอน

 

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ผู้นำอังกฤษพยายามไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากไปกว่านี้ โดยสนับสนุนให้ประชาชนทำงานที่บ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า รวมไปถึงคุมเข้มเรื่องการสวมใส่หน้ากากและการแสดงบัตรฉีดวัคซีนก่อนเข้าสถานที่สาธารณะ