"วัคซีนโควิด" mRNA ChulaCov19 คืบหน้าล่าสุด ผลทดสอบ - วันขึ้นทะเบียน
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เผยความคืบหน้าล่าสุด การทดสอบ "วัคซีนโควิด" mRNA ChulaCov19 ในระยะที่ 1 พร้อมย้ำจุดเด่นของวัคซีน
วันที่ 28 สิงหาคม 2564 "โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์" สภากาชาดไทย เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุด ผลการทดสอบ "วัคซีนโควิด" mRNA ChulaCov19 ในระยะที่ 1
- เผย "วัคซีนโควิด" "ChulaCov19" ต้านได้ 4 สายพันธุ์
- อาสาสมัครรีวิวฉีด "ChulaCov19" วัคซีน mRNA ตัวแรกของไทย เผยเทียบ "ไฟเซอร์-โมเดอร์นา"
สำหรับ "วัคซีนโควิด" ChulaCov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA สัญชาติไทยเมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้เซลล์ สร้างโปรตีนส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (Spike Protein) ทำให้ร่างกายรู้จักและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อ โควิด-19 ซึ่งสาร mRNA ที่อยู่ในวัคซีนจะถูกทำให้สลายไปภายในไม่เกิน 6 วัน โดยไม่สะสมในร่างกาย
ผลการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะที่ 1
1.อาสาสมัครมีระดับภูมิคุ้มกันต่อโรค โควิด-19 ดี กระตุ้นแอนติบอดีได้สูงมาก รวมถึงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดที-เซลล์ ซึ่งช่วยกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสที่อยู่ในเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้
2.วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) และป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ทั้ง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ อัลฟา (อังกฤษ) เบตา (แอฟริกาใต้) แกมมา (บราซิล) และเดลตา (อินเดีย)
3.จากการติดตามอาการในกลุ่มอาสาสมัครหลังฉีดวัคซีนครบ 7 วัน พบว่ามีอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนใหญ่เกิดอาการขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด เพลีย ไข้ หนาวสั่น และหายได้เองภายใน 1-3 วัน
จุดเด่นของวัคซีน ChulaCov19
1.สามารถจัดเก็บในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และจัดเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้เก็บรักษาได้ง่ายมากกว่าวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น
2.ผลการทดสอบในหนูทดลองผ่านเกณฑ์ดีมาก สามารถป้องกันอาการป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อ โควิด-19 เข้าสู่กระแสเลือด ลดจำนวนเชื้อไวรัสในจมูกและปอด รวมทั้งมีความปลอดภัยจากการทดสอบความเป็นพิษ
3.สามารถผลิตได้เร็ว เนื่องจากวัคซีนชนิด mRNA ไม่จำเป็นต้องเพาะเลี้ยงเชื้อ เพียงทราบสายพันธุ์ของเชื้อก็สามารถผลิตวัคซีนได้ ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ และหากเกิดเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคตจะสามารถสังเคราะห์วัคซีนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
การทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะต่อไปจะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2 ในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 150-300 คน โดยจะเริ่มก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 และทำการทดสอบเพิ่มเติม เช่น ระยะที่ 2 บี หรือระยะที่ 3 ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยมีเป้าหมายขึ้นทะเบียนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 หากเป็นไปได้
ข้อมูล ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2564 โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย