Program Online

นร.ถูก จยย.ชนบนทางม้าลายโคม่า คู่กรณีถามทำเรื่อง 30 บาทยัง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ผู้ประกาศข่าวแชร์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนหญิงขณะที่กำลังข้ามถนนบนทางม้าลาย แต่กลับโดนคนขับ จยย. ขับชนเข้าอย่างแรง

เคนโด้ เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ผู้ประกาศข่าวแชร์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนหญิงขณะที่กำลังข้ามถนนบนทางม้าลาย แต่กลับโดนคนขับ จยย. ขับชนเข้าอย่างแรงจนร่างกระเด็น ส่วนคู่กรณีนั้นนำกระเช้ามาขอโทษ แต่กลับบอกให้ทางน้องไปเดินเรื่อง 30 บาท อาการน้องเริ่มดีขึ้น จนกระทั่งวันที่ 6 น้องก็เริ่มซึม จนพบว่าน้องมีอาการสมองตาย รอแค่ปาฏิหารย์ให้ฟื้นขึ้นมาเพียงอย่างเดียว เรื่องนี้ผู้ประกาศข่าวทนไม่ได้ จึงต้องโพสต์เรื่องดังกล่าวมาแชร์เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
 

 

 

#แชร์ให้คนทำรับผิดชอบ ! #ชนน้องทางม้าลายหน้าโรงเรียนตอนสัญญาณข้ามถนนด้วย #คนชนไม่รับผิดชอบ #ตำรวจเงียบบอกคงไม่เป็นไร อาจจะยาวหน่อย เหตุเกิดเมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคม 2562 ช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็น หน้าโรงเรียนนาฏศิลป์ ศาลยา

น้องเลิกเรียนกำลังจะกลับบ้าน รอข้ามถนนตรงทางม้าลาย เพื่อจะขึ้นรถกลับบ้านกับเพื่อน เพื่อนกลุ่มที่กลับบ้านด้วยกันทุกวัน รออยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว แต่น้องอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่มที่เรียน เพื่อนๆน้องบอกว่า กดปุ่มสัญญาณไฟข้ามแล้ว ในคลิปก็จะเห็นว่าไฟแดงแล้ว แล้วน้องก็หันมองแล้ว มีรถเก๋งจอดให้ข้ามแล้ว น้องวิ่งออกไปคนแรก พอจังหวะวิ่งเลยรถเก๋งไป มอไซค์พุ่งตรงมาชนน้องอย่างแรง และคร่อมร่างน้องอยู่ระหว่างล้อหน้าและล้อหลังลากไปไกลประมาณ 9 บาลิเออร์

คนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกมอเตอร์ไซค์ไม่ล้มเลย คนชนยังล้มมาตั้งขาตั้งรถได้ น้องสลบไม่ได้สติ เจ้าหน้าที่ได้รีบส่งไปโรงพยาบาลศาลยา แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่พร้อม จึงส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งห่างกัน 10 กว่ากิโล เราก็ได้บอกเจ้าหน้าที่ว่าทำไมไม่ส่งที่ใกล้กว่านี้ หรือโรงพยาบาลในกรุงเทพที่ใกล้กว่าโรงพยาบาลนครปฐม เพราะกลัวจะไม่ทันการณ์ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้ มันต้องทำตามกฎ และโรงพยาบาลที่ดิวกันไว้เท่านั้น เพราะถ้าต่างโรงพยาบาลจะได้รับการรักษาช้า

เราก็ต้องยอมให้น้องไปที่โรงพยาบาลนครปฐม หมอซีทีสแกนแล้วแจ้งว่าน้องมีภาวะสมองบวมทั้ง 2 ข้าง มีเลือดออกในสมอง แต่ไม่มากพอที่จะผ่าตัดได้ สามารถให้ได้แค่ยาลดบวม และสลายเลือด เลือดออกหู บาดแผลที่ถูกลากไปทั่วทั้งร่างกาย แต่น้องแข็งแรงมากฟื้นภายในวันนั้นที่เกิดอุบัติเหตุเลย เราก็ดีใจที่เค้ามีสติขึ้นมา ก็ซีทีสแกนอีกรอบในวันถัดมา ผลออกมาคือสมองที่บวมหดลงมาแต่ยังไม่มาก และเลือดที่ออกก็ลดลง การตอบสนองต่อยาได้ผล แต่อาการปวดหัวรุนแรงยังมีอยู่ไม่หาย น้องเริ่มพูดได้ ขยับตัวได้ ลุกนั่งได้ กินได้ ดีขึ้นตามลำดับ จนเราก็เบาใจว่าน้องดีขึ้นแล้ว

หมอแจ้งว่า อาทิตย์หน้าน่าจะกลับบ้านได้แล้ว พอเข้าวันที่ 6 มีอาการซึมลง ไม่ยอมทำอะไรเลย นอนอย่างเดียว ตาลอย หมอก็บอกว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ให้ไป จะลดปริมาณยาลง แต่จนดึกอาการก็ยิ่งแย่ลง ต้องสอดท่อให้อาหารทางสายยาง เพราะเค้าไม่ยอมกินยาเลย พอเช้าวันที่ 7 ประมาณตี 4 แม่เค้าเช็ดตัว แล้วเห็นว่ามีอาการเกร็ง กำมือ ตาลอย เลยเรียกพยาบาลเข้ามาดู ส่องดูม่านตา ยังมีการตอบสนองแต่ช้ามาก

เห็นท่าไม่ดีจึงได้ตามหมอ พาลงไปไอซียู แต่ยิ่งแย่ลงหนักกว่าเดิม ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย หมอทำการซีทีสแกน พอว่าสมองบวมเฉียบพลัน จนไปกดทับเส้นเลือดที่เลี้ยงสมอง ได้ลองฉีดสีเข้าไป พบว่า มันตันทุกเส้น หยุดอยู่ที่ต้นคอเท่านั้น จึงทำการเปิดกระโหลก เพื่อลดความดันในสมอง และไม่ไปกดเส้นเลือดให้เลือดเข้าไปเลี้ยงสมองได้ แต่น่าจะช้าไป อาการเริ่มตอนตี 4 ได้ผ่าตอนประมาณ 11 โมง เพราะตอนนี้อาการน้องที่หมอบอกคือ สมองตาย

มันเกิดจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงในสมองชั้นในสุด รอปาฏิหารย์ให้เค้าฟื้นขึ้นมาอย่างเดียว เราก็อดทนรอ ไม่หมดหวัง ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในตอนแรกเราคิดจะย้าย รพ. แต่เราเห็นว่าน้องดีขึ้นคงไม่เป็นไร และเราก็ห่วงจะเกิดอันตรายระหว่างทางไหม แต่นั่นคือเราคิดผิด

ยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาด ถ้าในช่วงที่เค้าดีขึ้น ย้ายเค้าไปทำ MRI รักษาที่อื่น ก็น่าจะช่วยเหลือหรือรักษาได้ดีขึ้นกว่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าหมอไม่เก่งนะคะ แต่ขาดศักยภาพในบางเรื่อง มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้ รพ.รัฐทุกที่มีเครื่อง MRI ถึงมันจะแพง แต่ถ้ามันสามารถช่วยชีวิตคนมันก็คุ้มค่า และทุกคนยอมที่จะเสียเงินเพื่อต่อชีวิต

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม ทางครอบครัวคนขับได้เข้ามาดู ยื่นกระเช้าวีต้าพรุนให้แล้วพูดขอโทษแหะๆ ไม่ได้ตั้งใจแหะๆ คือดูแล้วเหมือนไม่ค่อยจะสำนึกผิดสักเท่าไหร่ ถามอาการน้อง ก็เป็นอย่างที่เห็น คือ นอนอย่างเดียว แล้วก็เริ่มต้นด้วยการถามหาประกันของน้องจากเรา น้องไม่ได้ทำประกันอะไร เค้าจะให้เราใช้ประกันกลุ่มของโรงเรียน ซึ่งมันควรที่จะให้เค้าใช้ไหมเพราะมันเป็นของน้อง แล้วเค้าถามแม่น้องว่าไปทำเดินเรื่อง 30 บาทยัง คือทางเราคิดว่าพวกคุณจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่ไหม

คุณทำลายอนาคตเด็กที่กำลังจะไปได้ดี คุณทำให้ครอบครัวเค้าสิ้นหวังหมดกำลังใจ คุณไม่เคยคิดที่จะยื่นมือช่วยเหลือค่าใช้จ่ายอะไรเลย แม้แต่ถามไถ่ว่าแม่น้องเป็นยังไงบ้าง ทำงานอะไร หยุดงานแล้วจะเป็นอะไรไหม ได้แต่พูดแต่ของตัวเองว่า ลูกเค้าก็เจ็บ ไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปทำงาน ทั้งๆที่แม่น้องเค้าเป็นซิงเกิลมัม ดูแลลูกทุกอย่างอย่างดีมาตลอด 15 ปี ไม่เคยปล่อยให้ลูกเป็นอะไร ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เป็นอะไรก็เข้าหาแต่โรงพยาบาลเอกชน ไม่ก็โรงพยาบาลรามาเท่านั้น

ดูๆแล้ว เหมือนทางคู่กรณีจะขาดสามัญสำนึกและความรับผิดชอบ เรื่องนี้อยากจะฝากเป็นอุทาหรณ์เตือนลูกหลานท่านเรื่องการฝากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ช่วยกันพิจารณา สร้างสะพานลอยให้เด็กได้ใช้ข้ามถนนเถอะ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีอุบัติเหตุบ่อย แต่ของน้องคือร้ายแรงสุด อยากให้เคสนี้เป็นเคสสุดท้ายที่เกิด ถึงคุณจะติดสัญาณไฟข้าม แต่จิตสำนึกของคน และสันดานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ