Lifestyle

เมนูอาหารต้านอากาศหนาว "สร้างภูมิคุ้มกัน" ลดเสี่ยงโควิด19 ป้องกันโรคหวัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อเข้าสู่เดือนพฤจิกายนที่อากาศจะค่อย ๆ เย็นลง การเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสุกใหม่ และดื่มน้ำอุ่น จะมีส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้เราแข็งแรงตลอดรอดผ่านหน้าหนาวปีนี้ไปได้

นอกจากหน้าหนาวมักพัดพาอากาศเย็น ๆ มาให้เราแล้วยังพัดพาปัญหาสุขภาพมาให้เราด้วยเช่นกัน ซึ่งปัญหาสุขภาพที่มักพบบ่อยในหน้าหนาว ได้แก่ ผิวหนังแห้งและคัน ริมฝีปากแตก ลอกเป็นขุย เป็นไข้หวัด น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ และคอแห้ง 

 

ด้วยเหตุนี้ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัยได้ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองว่า ประชาชนควรเอาใจใส่ดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง โดยได้ให้คำแนะนำดังต่อไปนี้

1) สวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนา ห่มผ้าในช่วงเวลากลาง คืนหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นจัดโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าที่เพียงพอ 

 

2)ควรกินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่ร้อนและปรุงสุกใหม่ โดยเลือกปรุงอาหาร จากผักพื้นบ้านตามฤดูกาลและหาได้ง่ายในช่วงหน้าหนาว เช่น กระเจี๊ยบ ดอกขี้เหล็ก ยอดมะขาม ซึ่งอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ 


 

  • เน้นเมนูอาหารที่มีเครื่องเทศ รสเผ็ดร้อน เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เช่น แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม แกงเผ็ด 
  • อาหารที่ปรุงด้วยสมุนไพร เช่นกระเทียม กระชาย ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้ 
     
  • กินผลไม้สดที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ มะขามป้อม มะขามเทศ เกรปฟรุต สตรอเบอร์รี่ ลูกพลับ จะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และป้องกันโรคหวัด

 

นอกจากกินอาหารให้ครบ 5 วิธีไหนช่วยต้านหวัดได้อีก

  • เรายังควรดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำเพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นกับร่างกาย เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น และช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย โดยใน 1 วันควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และ ต้องมั่นใจในเรื่องความสะอาดปลอดภัยของน้ำดื่มด้วย 


 

  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย เป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ผู้สูงอายุทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรหมั่นดูแลสุขภาพของตนเอง ให้ดีตลอดเวลา ส่วนเด็กทารกแรกเกิดถึง 6 เดือนให้กินนมแม่เป็นประจำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

 

ที่มาข้อมูล : กรมอนามัย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ