การแก้ปัญหาชาวนาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในยุคนี้อาจต้องการเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
จากที่ชาวนาไทยต้องเจอกับปัญหาภัยแล้งทุก ๆ ปีซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้รัฐบาลจึงได้มีแนวทางการช่วยเหลือออกมา 2 โครงการหลัก
- โครงการแรกเป็นการให้เงินเยียวยาชาวนาที่ได้รรับความเสียหายจากภับพิบัติทางธรรมชาติ ครอบคลุมเกือบทุกประเภทภัยพิบัติ โดยช่วยเหลือประมาณ 30% ของต้นทุนการผลิต
- โครงการที่สองเป็นการประกันข้าวนาปี โดยรัฐให้การอุดหนุนเบี้ยประกันรับประกันความเสียหายจากภัย 7 ชนิด ซึ่งทำงานร่วมกับ ธ.ก.ส และสมาคมประกันวินาศภัย
แต่ได้มีงานวิจัยเรื่อง การออกแบบการจัดการความเสี่ยงปัญหาสภาพภูมิอากาศสำหรับการผลิตข้าวของไทย ซึ่งได้เปิดเผยถึงปัญหาของการใช้ 2 วิธีความช่วยเหลือนั้น
1. โครงการเยียวยาใช้เวลานานในการตรวจสอบความเสียหาย ตั้งแต่หลังการประกาศประกันภัยจนกระทั่งถึงกานบันทึกข้อมูลเพื่อของบมาช่วยเหลือเกษตกรผู้ประสบภัย และต้องรออีกหลายเดือนเพื่อให้คำขอถูกอนุมัติ ทำให้การเยียวยาทำได้ไม่ทันเวลาและไม่เป็นไปตามแผนที่คิดไว้
2. โครงการเยียวยามีต้นทุนของกระบวนการตรวจสอบความเสี่ยงที่สูง เฉลี่ยถึง 295 ล้านบาทต่อปีซึ่งการคาดการณ์ก็มีแต่ว่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ
3. โครงการเยียวยาความเสียหายและประกันภัยข้าวนาปีให้ความช่วยเหลือกับที่นาที่ต้องเสียหายทั้งนาเท่านั้น แต่ไม่ได้รวมชาวนาที่ผลผลิตและพื้นที่นเสียแค่บางส่วน ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของชาวนา
4. พื้นที่เข้าข่ายเป็นเขตภัยพิบัติขึ้นกับประกาศโดยผู้ว่าราชการจังหวัดที่อิงเกณฑ์ของประกาศสาธารณะภัย ซึ่งจะเหมาะเพียงกับภัยขนาดใหญ่ โดยที่ผ่านมานาการที่จะเป็นผู้ประสบภัยนั้นจะต้องประสบภัยพร้อมกันหลายหมู่บ้าน หรือ หลายครัวเรือนเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ TDRI เลยแนะนำว่า
“ควรนำเทคโนโลยีมาช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการประกาศเขตภัยพิบัติ ตรวจสอบ ความเสียหาย โดยอาศัยการพัฒนาตามสถิติและข้อมูลความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรทางอ้อมแทนการยึดผลกระทบความเสียหายทางการเกษตรโดยตรงแบบเดิม เช่นโครงการภัยข้าวโพดสัตว์ ”
โครงการนี้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้โดย ใช้เทคโนโลยีมาวัดปริมาณน้ำฝนจากสถานีตรวจอากาศ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะช่วยคาดการณ์ที่นาความเสียหายของเกษตกรอย่างแม่นยำ และสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลและบทความจาก:
https://tdri.or.th
https://unsplash.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง